กรุงเทพฯ--20 เม.ย.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.เออีซี ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทย ไตรมาส 2/60 ผันผวน และเพิ่มระดับขึ้นในไตรมาส 3/60 จากความกังวลในนโยบายของทรัมป์ บวกกับเศรษฐกิจไทยที่ยังมีการเติบโตค่อยเป็นค่อยไป แม้ GDP โต 3.5% แต่เมื่อลบกับอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 1.8% พบว่า Real GDP Growth อยู่ที่ระดับ 1.7% ต่ำสุดในรอบ 2 ปี ทำให้กังวลว่าจะมีผลต่อ Asset Allocation ของนักลงทุนต่างชาติ และการเกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้น จึงคงเป้าดัชนีทั้งปีไว้ที่ 1,410-1,641 จุด แนะกลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยรองรับ ผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง ชูARROW-BA-EPG-JWD-ROBINS-TSR-WICE
นายรณกฤต สารินวงศ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/2560 ยังมีความผันผวนต่อเนื่อง และจะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 โดยทั้งปีประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยไว้ที่ 1,410-1,641 จุด โดยอิงจากค่า PER จาก Band ในอดีต พบว่า จุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีอยู่ที่ 13.8 เท่า และจุดเฉลี่ยเหมาะสมของFair PER อยู่ที่ 15.7 เท่า เนื่องจากประมาณการกำไรลดลงราว 4% ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นของตลาดมีการเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ 8.1%
ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยง จากนโยบายของประธานาธิบดีของนายทรัมป์ตลอดทั้งปี และล่าสุดเฟดประกาศปรับขึ้น Fed Fund Rate ครั้งแรกในปี 2560 และเป็นครั้งที่สามในรอบ 10 ปี จนมาอยู่ที่ระดับ 1% ส่งผลให้เกิดความผันผวนของตลาดการลงทุนในเกือบทุกสินทรัพย์มีมากขึ้น และคาดเดาทิศทางได้ยากโดยเฉพาะค่าเงิน Dollar Index ที่เคยหนุน Dow Jones กลับกลายเป็นไม่สัมพันธ์กัน รวมไปถึงผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นจากการถูกลดการลงทุน กลับมาผลักดัน Dow Jones ขณะที่ก่อนหน้านี้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลงกดดันดัชนีดาวโจนส์ ทองคำบ่อยครั้งที่สวนทางดาวโจนส์ แต่ในรอบต้นปีนี้กลับวิ่งไปพร้อมๆ กัน
ขณะที่ตัวเลข GDP ของไทยในปี 2560 จะยังคงมีแนวโน้มเติบโตระดับ 3.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่เมื่อนำมาหักลบกับอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 1.8% พบว่า Real GDP Growth จะอยู่ที่ระดับ 1.7% จากปีก่อน ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี และการลดลงนี้ทำให้กังวลว่าจะมีผลต่อ Asset Allocation ของนักลงทุนต่างชาติ และการเกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้น
ดังนั้นบริษัทฯแนะกลยุทธ์การลงทุนโดยเน้น Stock Selection มากกว่าการเลือกหุ้นอิงดัชนี โดยแนะนำหุ้นที่น่าสนใจและมีจุดเด่นเฉพาะตัวได้แก่ ARROW ให้ราคาเป้าหมายที่ 19.60 บาท คาดได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ คาดปี 2560-2561 ARROW จะมีกำไรสุทธิโตเฉลี่ยปีละ 15% สร้างสถิติกำไรรายปีสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 13.3%
รองลงมาหุ้น BA ให้ราคาเป้าหมายที่ 27.75 บาท ในปีนี้มีกลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้นทั้งในการเพิ่มเส้นทางการบินใหม่ การเพิ่มความถี่ในเส้นทางการบินเดิม การเพิ่มพันธมิตรในสายการบินใหม่ (Code Share Agreement) การเพิ่มฝูงบิน และการปรับปรุงพื้นที่ในสนามบินสมุย โดยคาดปี 2560 มีกำไรสุทธิ 2,284 ล้านบาท เติบโต 29.2%
หุ้น EPG ราคาเป้าหมายที่ 15.30 บาท คาดปี 59/60-60/61 กำไรปกติโตเฉลี่ยปีละ 18.6% จากยอดขายอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ที่โตเด่น ตามการฟื้นตัวของยอดขายยานยนต์ในต่างประเทศ ยอดขายฉนวนยางฯ มีแนวโน้มโตดี จากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่สหรัฐฯ ที่จะเพิ่มขึ้น จากนโยบายทรัมป์ และเริ่มต้นรุกตลาดบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพกลาง-ล่าง หลังโรงงาน EPP Phase 2 ที่ระยองสามารถเดินเครื่องได้เต็มประสิทธิภาพ หนุนยอดขายและมาร์จิ้นปรับตัวดีขึ้น
หุ้น JWD ราคาเป้าหมายที่ 10.40 บาท คาดได้อานิสงค์บวกจากเปิด AEC หลังเพิ่มการลงทุนในคลังสินค้าที่ประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนผลดำเนินงานคาดพ้นจุดต่ำสุดปีก่อนหน้านี้แล้ว หลังกำไรปกติเริ่มฟื้นตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2559 อีกทั้งปี 2560 คาดกำไรปกติพลิกโตเด่นถึง 76.7%
หุ้น ROBINS ราคาเป้าหมายที่ 74 บาท คาดได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่ดีขึ้นและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของคนต่างจังหวัด โดยปี 2560 คาดกำไรปกติโต 12.8% ส่วนหุ้น TSR ราคาเป้าหมาย 6.60 บาท ปีนี้มีแผนเสริมทัพด้วยบุคลากรด้านการขาย ทั้งพนักงานขายทางโทรศัพท์ตัวแทนขาย และขยายสาขาเพิ่ม บวกกับ ค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญและหนี้สูญที่เริ่มเข้าสู่ระดับปกติ คาดปีนี้มีกำไรสุทธิ 198ล้านบาท พลิกกลับมาโตเด่น 146.1% สุดท้ายหุ้น WICH ราคาเป้าหมายที่ 4.80 บาท ปีนี้จะเป็นปีแรกที่บันทึกผลประกอบการของ SEL Singapore ในงบการเงินรวมแบบเต็มปี คาดมีกำไรสุทธิ 129 ล้านบาท โตเด่น 67.3%