กรุงเทพฯ--21 เม.ย.--ทีคิวพีอาร์
บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้การต้อนรับคาราวานรถสปอร์ตคลาสสิก เอ็มจี จำนวน 8 คันกับการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่กรุงลอนดอนในทริป "2017 MG Silk Road Driving Tour" ตอกย้ำความโดดเด่นและความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ เอ็มจี ที่ถูกถ่ายทอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งความสนุกสนานในการขับขี่ ดีเอ็นเอความเป็นรถสปอร์ตที่ทุกคนจับต้องได้ ความทนทานที่รองรับการใช้งานยาวนาน และความหลงใหลในแบรนด์ เอ็มจี ที่เปี่ยมด้วยสุนทรียภาพแบบอังกฤษ รวมระยะทางกว่า 37,000 กิโลเมตรตลอดระยะเวลา 111 วัน
ผู้ร่วมทริปการเดินทาง "2017 MG Silk Road Driving Tour" ในครั้งนี้ประกอบด้วยกลุ่มลูกค้าชาวออสเตรเลียที่เป็นแฟนพันธุ์แท้รถยนต์คลาสสิกของ เอ็มจี รวมทั้งสิ้น 16 คน โดยได้ตัดสินใจเริ่มต้นการเดินทางจากประเทศไทยเนื่องจากเล็งเห็นว่าประเทศไทยคือศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจของ เอ็มจี และถือเป็นตลาดยุทธศาสตร์ของการผลิตยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
"แบรนด์ เอ็มจี มีชื่อเสียงมายาวนานร่วม 100 ปีจากความมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและความหลงใหลในแบรนด์ที่ถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบันอย่างไม่เสื่อมคลาย ขบวนรถสปอร์ตคลาสสิก เอ็มจี ทั้ง 8 คันคือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมที่แสดงให้เห็นว่า เอ็มจี ส่งต่อดีเอ็นเอการพัฒนารถสไตล์สปอร์ตที่ทุกคนจับต้องได้ ใช้งานได้ยาวนาน และให้ความสนุกสนานในการขับขี่ เอ็มจี คือรถยนต์ที่มีความคุ้มค่าสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือการเดินทางท่องเที่ยวทุกรูปแบบ ในฐานะตัวแทนของ เอ็มจี ในประเทศไทย ผมขอให้นักเดินทางทุกท่านขับขี่ถึงจุดหมายในกรุงลอนดอนโดยสวัสดิภาพ"นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
การพัฒนารถยนต์ของเอ็มจี เริ่มต้นจากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต นับตั้งแต่รุ่นโอลด์ นัมเบอร์ วัน (Old Number One) ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ คันแรกของเอ็มจีที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อการชิงชัยด้วยเครื่องยนต์ 1,548 ซี.ซี. เกียร์ 3 สปีด โครงสร้างแชสซีของมอร์ริส คาวลีย์ (Morris Cowley)คว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันแลนด์ เอนด์ ไทรอัล เมื่อปี ค.ศ. 1925 หลังจากนั้น เอ็มจี เดินหน้าพัฒนารถคุณภาพเยี่ยมมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งสร้างชื่อเสียงโด่งดังอีกครั้งกับรถสปอร์ตคลาสสิกตระกูล MGA ที่ผลิตระหว่างปี ค.ศ. 1955 – 1962 และรุ่น MGB ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั่วทั้งทวีปยุโรปทั้งในด้านคุณภาพและสมรรถนะ MGB นับเป็นหนึ่งในรถสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทั้งในด้านยอดขายและเสียงตอบรับของลูกค้าตลอดระยะเวลาการผลิตระหว่างปี ค.ศ. 1962 - 1980 ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและความหลากหลายของสไตล์ตัวถังที่มีทั้งรุ่นหลังคาแข็งและหลังคาผ้าใบ พร้อมเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและทนทาน โดยรถสปอร์ตคลาสสิกทั้ง 2 รุ่นดังกล่าวจะเดินทางร่วมขบวนไปกับคาราวานครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ด้วย
มร. จอห์น บาสเทน หนึ่งในผู้ร่วมเดินทางซึ่งเป็นเจ้าของรถสปอร์ตเปิดประทุน MGB Roadster สีทอง เปิดเผยว่า "รถสปอร์ตคันนี้คือรถในฝันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ไม่เพียงจะมีเครื่องยนต์ที่แข็งแรงทนทานราวกับหุ่นยนต์ แต่ยังให้ความสนุกสนานทุกครั้งที่ได้ขับขี่ ผมได้ลองขับ MGB คันนี้ขึ้นเขาใหญ่ โดยใช้เส้นทางถนนธนะรัชต์ที่มีทั้งทางโค้งและเนินลาดชัน ผมได้สัมผัสถึงระบบวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยมของตัวรถ ถึงแม้จะผลิตมานานหลายสิบปี แต่ผมก็ยังประทับใจในสมรรถนะที่เร้าใจของตัวรถคันนี้มาก"
ปัจจุบัน ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของ เอ็มจี เช่นเดียวกันกับประเทศไทย โดยมีลูกค้าที่หลงใหลในรถยนต์ เอ็มจี ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นคลาสสิกรวมตัวกันเป็นสมาชิกกลุ่ม MG Club ที่มีสมาชิกกว่า 4,000 คน สำหรับการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาวางแผนนานกว่า 2 ปี หลังจากออกเดินทางจากประเทศไทย คณะเดินทางจะขับขี่ผ่านประเทศจีนซึ่งเป็นที่ตั้งของ เอสเอไอซี มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เอ็มจี ในประเทศไทยและทั่วโลก ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่ประเทศอังกฤษผ่านทางตะวันออกกลางเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองอาบิงดัน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานแห่งแรกของเอ็มจี เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว
มร. ไมค์ เฮอร์ริฮี หนึ่งในผู้ร่วมเดินทางในทริปประวัติศาสตร์ครั้งนี้ซึ่งเป็นเจ้าของรถสปอร์ตคลาสสิก MGB และรถคลาสสิกของ เอ็มจี อีก 7 คัน กล่าวว่า "ผมมีโอกาสทดสอบขับรถยนต์ เอ็มจี รุ่นใหม่ในประเทศไทยที่ศูนย์สร้างประสบการณ์การขับขี่ หรือ เอ็มจี ไดรฟ์วิ่ง เอ็กซ์พีเรียนซ์ เซ็นเตอร์ โดยมีโอกาสทดสอบขับทั้ง MG3 และ MG GS ซึ่งผมมีความประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะรถยนต์ เอ็มจี ยังคงเปี่ยมด้วยบุคลิกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผมได้รับความสนุกสนานเร้าใจในการขับขี่ สมรรถนะที่ให้ความสปอร์ตผสมผสานความปลอดภัยแบบที่ เอ็มจี ในอดีตเคยตั้งสโลแกนว่า 'MG Safety Fast' ผมเชื่อว่าเจ้าของรถ เอ็มจี ชาวไทยจะมีความประทับใจในสมรรถนะและคุณภาพของตัวรถเช่นกัน เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดในโลก เราทุกคนคือสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน"