กรุงเทพฯ--25 เม.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ. พริมา มารีน ("PRM") ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีทางเรืออย่างครบวงจรซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 625 ล้านหุ้น โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ก่อนเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีนี้
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.พริมา มารีน ("PRM") ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 625 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนที่ออกและชำระแล้ว 2,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท
สำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ จะแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายโดย บมจ.พริมา มารีน ("PRM") ไม่เกิน500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 125 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 และร้อยละ 5 ตามลำดับของหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้
นางสาววีณา เลิศนิมิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ.พริมา มารีน ("PRM") มี 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมี (ธุรกิจเรือขนส่งฯ) 2. ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป (ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU) 3. ธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (ธุรกิจเรือ Offshore) และ 4. ธุรกิจบริหารจัดการเรือ
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บมจ.พริมา มารีน ("PRM") จะนำไปใช้ลงทุนเรือลำใหม่และขยายกองเรือในธุรกิจเรือขนส่งฯ ธุรกิจเรือขนส่งและการจัดเก็บ FSU และธุรกิจเรือ Offshore ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจต่อไป
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) ("PRM") กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการกองเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีทางเรืออย่างครบวงจร โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีกองเรือที่กลุ่มพริมา มารีนและกิจการร่วมค้าเป็นเจ้าของที่ให้บริการรวม 22 ลำ และมีเรือขนส่งน้ำมันที่ว่าจ้างจากบริษัทภายนอกอีก 9 ลำ มีขนาดน้ำหนักบรรทุกรวม 2,239,219 DWT
สำหรับธุรกิจเรือขนส่งฯ กลุ่มพริมา มารีนและกิจการร่วมค้ามีเรือขนส่งที่ให้บริการจำนวน 22 ลำ มีขนาดน้ำหนักบรรทุกรวม 271,400 DWT เพื่อให้บริการขนส่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีจากโรงกลั่น คลังน้ำมันหรือท่าเรือต้นทาง โดยมีเส้นทางการขนส่งในประเทศและระหว่างประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ส่วนธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU มีเรือให้บริการจำนวน 6 ลำ ที่มีถังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ 7-17 ถังต่อลำ รวมขนาดน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,776,065 DWT เพื่อให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันแบบคลังลอยน้ำตามปริมาณและระยะเวลาที่ลูกค้ากำหนด โดยปัจจุบัน เรือ FSU ของบริษัทฯ จอดในน่านน้ำระหว่างประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจซื้อขายน้ำมันของภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการเรือขนส่งและสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore) แก่กลุ่มลูกค้าบริษัทสำรวจและขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล โดยมีธุรกิจที่ให้บริการ ได้แก่ เรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมัน (Floating Storage and Offloading Unit หรือ FSO) เรือขนส่งและที่พักอาศัยสำหรับพนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม (Accommodation Work Barge หรือ AWB) และเรือสนับสนุนลาก-จูง และจัดการสมอ (Anchor Handling Tugs หรือ AHTs) ซึ่งบริษัทฯ มีเรือ FSO จำนวน 2 ลำ ขนาดบรรทุกสูงสุด 191,754 DWT และมีเรือขนส่งและที่พักอาศัยสำหรับพนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม (เรือ AWB) อีก 1 ลำ รองรับได้ 300 คน
นอกจากนี้ ยังให้บริการบริหารจัดการเรือแก่เรือขนส่งน้ำมัน เรือ FSU เรือ FSO เรือ AWB และเรือรับส่งคนประจำเรือ ที่บริษัทฯ ทำหน้าที่บริหารจัดการด้านเทคนิค ด้านคนเรือและการบริหารงานเพื่อความปลอดภัยแก่คนประจำเรือ สินค้าและตัวเรือ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลักอีกด้วย
"เรามีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันและปิโตรเลียมอย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของไทย ตั้งแต่การขนส่งน้ำมันทางทะเล การจัดเก็บน้ำมันบนคลังเรือลอยน้ำ การให้บริการทางเรือที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ทำให้เรามีขีดความสามารถแข่งขันในด้านการให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ โรงกลั่นน้ำมันและผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเอเชียแปฟิกที่เพิ่มขึ้น" นายชาญวิทย์ กล่าว