กรุงเทพฯ--28 เม.ย.--โฟร์ฮันเดรท
"โฮมโปร" รักษาผู้นำตลาดธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านอย่างเหนียวแน่น โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 60 กวาดรายได้รวม 15,272.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 660.76 ล้านบาท หรือ4.52% มีผลกำไรสุทธิสำหรับงวดเท่ากับ 1,046.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180.05 ล้านบาท หรือ 20.79% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตจากสาขาใหม่ ทั้งธุรกิจโฮมโปร เมกาโฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของอัตราการทำกำไรในแต่ละกลุ่มสินค้าให้ดีขึ้น เช่น การเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มสินค้าDirect Sourcing การเลือกสินค้าจากแหล่งต่างๆ ให้ได้ต้นทุนในราคาที่เหมาะสม การเพิ่มคุณภาพของสินค้าให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น และการวางแผนการจัดซื้อสินค้า
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ "โฮมโปร" ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย สำหรับไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2560 เท่ากับ 1,046.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180.05 ล้านบาท หรือ 20.79% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจาก รายได้รวม จำนวน 15,272.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 660.76 ล้านบาท หรือ 4.52% โดยเพิ่มขึ้นจากปัจจัยดังนี้
รายได้จากการขาย จำนวน 14,270.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 639.17 ล้านบาท หรือ 4.69% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตจากสาขาใหม่ ทั้งธุรกิจโฮมโปร เมกาโฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย
บริษัทฯ มีรายได้ค่าเช่า และบริการอีกจำนวน 481.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.44 ล้านบาท หรือ 1.36% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่สูงขึ้นจากพื้นที่ให้เช่าเพิ่มเติมของสาขาโฮมโปร นอกจากนี้ยังมีรายได้อื่น จำนวน 520.82ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.16 ล้านบาท หรือ 3.00% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ค่าโฆษณา รายได้จากการส่งเสริมการขาย และรายได้จากค่าบริการ "โฮม เซอร์วิส" จากลูกค้า
นายคุณวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น สำหรับไตรมาส 1 ปี 2560 จำนวน 3,711.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298.87 ล้านบาท หรือ 8.76% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 25.03%ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.01% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงธุรกิจเมกาโฮม ที่มีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร จำนวน 3,307.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.05 ล้านบาท หรือ3.96% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายกลุ่มเงินเดือน ต้นทุนในการให้บริการแก่ลูกค้า และค่าเสื่อมราคา อย่างไรก็ตาม อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้น โดยลดลงจาก 23.34% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 23.18% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 แม้ว่าดัชนีทางเศรษฐกิจบางตัวจะปรับตัวดีขึ้น แต่ยังไม่เห็นการฟื้นตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างชัดเจน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายของสินค้าบางกลุ่ม เช่น กลุ่มเครื่องทำความเย็น ซึ่งมียอดขายสูงกว่าปกติในปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น งาน HomePro Expo ในช่วงวันที่ 17-26 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมาซึ่งมียอดขายอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
"จากสถานการณ์ที่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า บริษัทฯ จึงได้มุ่งเน้นในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพของอัตราการทำกำไรในแต่ละกลุ่มสินค้าให้ดีขึ้น เช่น การเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มสินค้า Direct Sourcing การเลือกสินค้าจากแหล่งต่างๆ ให้ได้ต้นทุนในราคาที่เหมาะสม การเพิ่มคุณภาพของสินค้าให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น การวางแผนการจัดซื้อสินค้า" นายคุณวุฒิ กล่าวปิดท้าย