กรุงเทพฯ--28 เม.ย.--ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์
ผู้ถือหุ้น บมจ.ดุสิตธานี อนุมัติโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (มิกซ์-ยูส) มูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท ผู้บริหารคาดเริ่มดำเนินโครงการกรกฎาคมปีนี้ ระบุผลประกอบการไม่ได้รับผลกระทบในช่วงปรับปรุงโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ประมาณ 3 ปี เนื่องจากบริษัทฯ ยังมีผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการต่างๆ ในรูปแบบรายรับอื่น มั่นใจหลังโครงการดำเนินการแล้วเสร็จ "ดุสิตธานีกรุงเทพ" จะกลับมาเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ ขณะที่โครงสร้างรายได้ในอนาคตจากการกระจายลงทุนใหม่ จะสนับสนุนให้ฐานะการเงินของบริษัทฯ แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญ ผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติการลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม หรือมิกซ์-ยูส (Mixed-Use Development) มูลค่ารวม 36,700 ล้านบาท โดยร่วมมือกับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการพัฒนาที่ดินบริเวณหัวมุมถนนสีลมและถนนพระราม 4 หรือบริเวณโรงแรมดุสิตธานี โดยมีแผนพัฒนาให้เป็นโรงแรม อาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และโครงการอาคารศูนย์การค้า บนที่ดินขนาด 23 ไร่ 2 งาน 27.2 ตารางวา
"บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่านที่ไว้วางใจอนุมัติให้ดำเนินการโครงการดังกล่าว ซึ่งหลังจากได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว เราคาดว่าจะเริ่มดำเนินการพัฒนาพื้นที่บางส่วนได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2560 เป็นต้นไป โดยจะเริ่มพัฒนาที่ดินเพิ่มเติมที่ได้รับมาใหม่ตรงบริเวณอาคารร้างบนถนนพระรามที่ 4 (ที่อยู่ติดกับพื้นที่เดิมของโรงแรม) เพื่อเร่งดำเนินการสร้างโรงแรมดุสิตธานีกรุงเทพ แห่งใหม่ ควบคู่ไปกับการเปิดให้บริการโรงแรมเดิม ซึ่งจะให้บริการต่อไปจนถึงกลางปี 2561 เพื่อให้ช่วงเวลาที่ต้องหยุดให้บริการเกิดขึ้นน้อยที่สุด โดยในเบื้องต้นคาดว่าโรงแรมใหม่จะสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 ในขณะที่โครงการส่วนอื่นทั้งหมดจะแล้วเสร็จประมาณปี 2567" นางศุภจีกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าวด้วยว่า แม้ว่าการเข้าทำรายการครั้งนี้ จะทำให้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานีกรุงเทพ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาทต่อปี (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16.67% ของรายได้ทั้งหมด) ขาดหายไปช่วงหนึ่ง แต่บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนบางส่วนจากการเข้าลงทุนในโครงการรูปแบบผสมนี้ และจะมีรายได้จากโครงการใหม่ๆ ที่ทางบริษัทฯ กำลังดำเนินการอยู่เข้ามาชดเชย ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการโดยรวมของบริษัทฯ ในช่วงก่อสร้างโครงการ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้วางแผนจัดโครงสร้างการเงินอย่างระมัดระวังและรอบคอบ ร่วมกับที่ปรึกษาหลายฝ่ายสำหรับการลงทุนในโครงการรูปแบบผสมนี้ ทำให้บริษัทฯ สามารถได้รับผลตอบแทนทั้งระยะสั้น และระยะยาวจากการลงทุน ก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนเข้ามาในบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบทางการเงินในช่วงที่อยู่ระหว่างดำเนินการโครงการใหม่ โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่า โครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะเป็นสัญลักษณ์แห่งใหม่ใจกลางเมือง ที่ยังคงจุดเด่นในการดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย ด้วยสภาพแวดล้อมที่ถูกจัดให้สอดคล้องกับความเป็นย่านธุรกิจและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเอื้อประโยชน์ต่อการจราจรในทุกระนาบ โดยยังคงความเป็น 'ดุสิตธานี' ไว้ได้อย่างเข้มแข็งเหมือนกับตลอดระยะเวลาเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้โรงแรมดุสิตธานี ยังคงเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ โดยบางส่วนที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงแรมดุสิตธานีจะถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในช่วงของการปรับปรุง ก่อนที่จะกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมเมื่อเปิดดำเนินการอีกครั้ง ซึ่งในที่สุดแล้ว จะเป็นการช่วยยกระดับหรือชูแบรนด์ดุสิตธานีให้กลับมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สำหรับเป้าหมายของกลุ่มดุสิตธานีนับจากนี้ จะใช้นโยบายเชิงรุกควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพในการนำบริษัทไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน โดยวางกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. การสร้างสมดุลด้านสัดส่วนของรายได้ในประเทศและต่างประเทศ 2. สร้างการเติบโตโดยตั้งเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนห้องพักกว่าเท่าตัว และ 3. กระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ด้วยการไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
ปัจจุบัน กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้วทั่วโลกจำนวน 29 แห่งใน 8 ประเทศ โดยเป็นโรงแรมที่อยู่ในประเทศไทยจำนวน 10 แห่ง และคาดว่า ภายในปี 2563 จะเปิดโรงแรมเพิ่มกว่า 70 แห่งใน 21 ประเทศ