กรุงเทพฯ--28 เม.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ที่ระดับ 'AA-(tha)', อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ 'F1+(tha)' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิที่ระดับ 'AA-(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
การคงอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทย ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ แข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้สินโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิต
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: อัตราส่วนหนี้สินของ TOP ซึ่งคำนวณจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO-adjusted net leverage) ลดลงต่อเนื่องในปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 0.6 เท่า (จาก 1 เท่าในปี 2558) เนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สูงกว่าที่คาด ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวของบริษัทฯ จะอยู่ในระดับประมาณ 0.7 เท่าถึง 1 เท่า ในปี 2560-2561 เนื่องจากฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานน่าจะลดลง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการลงทุนก็น่าจะลดลงเช่นกัน อัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำจะช่วยรองรับการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้สินในกรณีที่ค่าการกลั่นปรับตัวลดลง และ/หรือ มีการลงทุนเพิ่มเติมได้
การลงทุนขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้อยู่แผน: ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายในการลงทุนของบริษัทฯ น่าจะลดลงในปี 2560-2561 อย่างไรก็ตาม TOP กำลังศึกษาโครงการขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Clean Fuels Project ที่จะช่วยเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันดิบและเพิ่มหน่วยเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ (Upgrading Unit) ซึ่งน่าจะเป็นการลงทุนที่สูง บริษัทฯ น่าจะตัดสินใจในการลงทุนโครงการนี้ภายในไตรมาสแรกของปี 2561 ทั้งนี้ฟิทช์มองว่าการตัดสินใจลงทุนในโครงการที่ใช้แหล่งเงินทุนจำนวนมากจากการกู้ยืมเงินจะเป็นเหตุให้มีการพิจารณาอันดับเครดิตของบริษัทฯ
โรงกลั่นที่มีการผลิตแบบคอมเพล็กซ์และต้นทุนต่ำ: อันดับเครดิตของ TOP สะท้อนถึงการมีขนาดการผลิตที่ใหญ่เมื่อเทียบกับโรงกลั่นน้ำมันอื่นๆ ในประเทศ การมีกระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปชนิดที่มีมูลค่าสูงในสัดส่วนที่สูงได้ การมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และการใช้กำลังการผลิตในอัตราที่สูง การพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตอย่างต่อเนื่อง และการมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้นยังช่วยทำให้ TOP สามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี
การมีธุรกิจที่หลากหลาย: การขยายสายการผลิตของ TOP ไปยังการผลิตอะโรเมติกส์ น้ำมันหล่อลื่น และผลิตภัณฑ์สารทำละลาย เป็นการเพิ่มจำนวนชนิดของผลิตภัณฑ์ และลดความผันผวนของค่าการกลั่นของบริษัทฯได้ การเริ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องของสารเบนซีนในปี 2559 ช่วยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าของบริษัทฯมากขึ้น ในขณะเดียวกัน การลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดความผันผวนของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน จากธุรกิจการกลั่นน้ำมัน แม้ว่าสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากธุรกิจไฟฟ้าจะมีสัดส่วนที่น้อย อยู่ที่ประมาณร้อยละ 7 ของ EBITDA รวมของบริษัทฯ ในปี 2559
ธุรกิจมีความผันผวนสูง: อันดับเครดิตของ TOP ยังพิจารณารวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของวัฏจักรของธุรกิจ และความเสี่ยงจากการมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว อีกทั้ง TOP ยังคงต้องพึ่งพา บมจ. ปตท. (อันดับเครดิตที่ AAA(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด สำหรับตลาดภายในประเทศเป็นหลัก อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ มีการขายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปส่วนใหญ่ให้กับ ปตท. ได้ถูกบรรเทาลงจากการที่ ปตท. มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่ง และเป็นผู้ดำเนินธุรกิจรายใหญ่ในการจัดจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย นอกจากนี้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความเสี่ยงจากการที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาน้ำมันดิบจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงอีกด้วย
การเพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับเครดิตจากความสัมพันธ์กับ ปตท.: อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ TOP ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับอันดับเครดิตขึ้นหนึ่งอันดับจากอันดับเครดิตของบริษัทฯ เมื่อพิจารณาตัวบริษัทฯโดยลำพัง (Stand-alone Rating) การปรับดังกล่าวเป็นการสะท้อนถึงความสำคัญทางด้านกลยุทธ์ของ TOP ที่มีต่อ ปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 49% โดย TOP เป็นโรงกลั่นที่สำคัญในกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันที่เป็นบริษัทในเครือของ ปตท. รวมถึงเป็นผู้ขายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปหลักให้กับธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของ ปตท. อีกด้วย โดยปริมาณน้ำมันที่ขายให้แก่ ปตท. คิดเป็นหนึ่งในสามของความต้องการน้ำมันทั้งหมดในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของ ปตท.
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
สถานะทางเครดิตโดยลำพัง (Stand-alone Credit Profile) ของ TOP ที่ 'A+(tha)' สะท้อนถึงขนาดธุรกิจและโรงกลั่นที่มีการผลิตแบบคอมเพล็กซ์ของบริษัทฯ สถานะทางธุรกิจของ TOP แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งดังกล่าว TOP มีโรงกลั่นน้ำมันที่คอมเพล็กซ์กว่าและมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตที่A-(tha) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ BBB+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่ามาก และมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่าเนื่องจากบริษัทฯ สามารถดำเนินการกลั่นน้ำมันโดยใช้กำลังการผลิตที่เต็มที่มากกว่า อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC, อันดับเครดิตที่ AA(tha) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ AA-(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) TOP มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่น้อยกว่ามาก นอกจากนี้ TOP ยังมีอัตราส่วนกำไรที่ต่ำกว่าเนื่องจาก PTTGC มีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่าซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 52.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2560, 55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2561, 60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2562 และ 65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2563 เป็นต้นไป โดยมีการปรับปรุงด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ TOP;
- ค่าการกลั่นที่ลดลงในปี 2560:
- การใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นที่ 105% ในปี 2560-2561;
- กำไรของธุรกิจอะโรเมติกส์ค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในปี 2560-2561 เป็นผลมาจากส่วนต่างของราคาขายและต้นทุนที่ดีขึ้น;
- จำนวนเงินลงทุนที่ลดลงในปี 2560-2561
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- อัตราส่วน FFO-adjusted net leverage อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 0.8 เท่าอย่างต่อเนื่อง แต่ว่าจะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยเนื่องจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้อยู่ในแผนที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
- ระดับความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงานและความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ กับ ปตท. ที่เพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยลบ:
- ค่าการกลั่นและส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและวัตถุดิบที่ต่ำกว่าที่คาด และ/หรือ การลงทุนที่เพิ่มขึ้นโดยมีแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมซึ่งทำให้อัตราส่วน FFO-adjusted net leverage เพิ่มขึ้นในระดับที่สูงกว่า 1.8 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- ระดับความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงานและความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ กับ ปตท. ที่ลดลง
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: สภาพคล่องของ TOP สะท้อนถึงเงินสดที่มีอยู่จำนวนมากถึง 6.1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งมากกว่าหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 8 พันล้านบาทมาก โดยหนี้ที่จะครบกำหนดชำระดังกล่าว จำนวน 4.5 พันล้านบาทเป็นหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2560 นอกจากนี้บริษัทยังมีวงเงินกู้ระยะสั้นที่สามารถเบิกกู้ได้จากสถาบันการเงินและวงเงินกู้ระยะสั้นที่สามารถเบิกกู้จาก ปตท. รวมทั้งบริษัทฯ ยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่าย บริษัทฯ ยังมีภาระการชำระคืนหนี้ที่จัดการได้ง่าย โดยมีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 10.9 ปี