กรุงเทพฯ--3 พ.ค.--MMM Digital Asset
ในอวกาศ ไม่มีใครได้ยินเสียงคุณกรีดร้อง หลังผ่านมานานเกือบสี่ทศวรรษ ถ้อยคำเหล่านี้ยังคงชวนให้นึกถึงบรรยากาศกดดันหนักหน่วงใน Alien ผลงานหนังสยองขวัญจากโลกอนาคตเรื่องเอกของริดลีย์ สก็อตต์ ถึงวันนี้บิดาผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์อันเป็นเอกลักษณ์ได้กลับมาสู่โลกที่เขาสร้างขึ้นเพื่อสำรวจซอกมุมอันมืดมิดในภาพยนตร์เรื่อง ALIEN: COVENANT การผจญภัยครั้งใหม่สุดระทึกที่จะผลักดันขอบเขตของหนังสยองขวัญเรตอาร์
ความเงียบเข้าปกคลุมภายในยานอวกาศโคเวแนนท์ ลูกเรือและมนุษย์อีก 2,000 คนบนยานบุกเบิกลำนี้กำลังหลับลึกอยู่ในภาวะจำศีล เหลือเพียงหุ่นแอนดรอยด์ วอลเตอร์ ที่เดินไปตามทางเดินในยานโดยลำพัง ยานลำนี้กำลังเดินทางไปยังดาวออริเก-6 อันห่างไกล ณ อีกฟากหนึ่งของกาแล็กซี ซึ่งเหล่าผู้ตั้งถิ่นฐานหวังที่จะสร้างฐานที่มั่นแห่งใหม่ให้แก่มนุษยชาติ ความเงียบสงบได้ถูกทำลายลงเมื่อการระเบิดของดวงดาวบริเวณใกล้เคียงได้ทำลายแผงเก็บพลังงานของยานโคเวแนนท์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนและทำให้ภารกิจไม่เป็นไปตามแผน
ในไม่ช้าลูกเรือผู้รอดชีวิตก็ได้ค้นพบดวงดาวที่คล้ายเป็นแดนสวรรค์ซึ่งยังไม่ได้รับการสำรวจ สวนอีเดนที่ไร้สิ่งรบกวน แวดล้อมด้วยเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยปุยเมฆและแมกไม้สูงตระหง่าน ดาวดวงนี้อยู่ใกล้กว่าออริเก-6 มากและน่าจะเหมาะแก่การดำรงชีพเช่นเดียวกับโลกของเรา ทว่าสิ่งที่พวกเขาได้พบกลับเป็นโลกอันดำมืดอันตรายและเต็มไปด้วยเรื่องราวพลิกผันเหนือความคาดหมาย เมื่อทีมนักสำรวจต้องเผชิญภัยคุกคามอันโหดร้ายเกินจินตนาการ พวกเขาจึงต้องหาทางหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
ALIEN: COVENANT เล่าเรื่องราวในอีกสิบปีถัดมาหลังจากเหตุการณ์ใน Prometheus หนังดังของสก็อตต์ที่ออกฉายเมื่อปี 2012 และนับเป็นการกลับสู่ต้นกำเนิดแห่งตำนานสุดล้ำของผู้กำกับรายนี้ด้วยการผจญภัยชวนขวัญผวาและสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่อันสุดสะพรึง หนังเรื่องนี้นับเป็นภาคที่หกของซีรีส์ โดยผู้กำกับเปี่ยมวิสัยทัศน์รายนี้ได้ขยับเข้าใกล้การเปิดเผยที่มาอันลึกลับของมารดาแห่งเอเลี่ยนทั้งมวล จนเกิดเป็นตัวซีโนมอร์ฟสุดร้ายกาจในหนังภาคแรก
ALIEN: COVENANT นำแสดงโดย ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ (Prometheus, 12 Years a Slave), แคเธอรีน วอเตอร์สตัน (Steve Jobs, Inherent Vice), บิลลี ครูดัพ (Almost Famous, Mission: Impossible III), แดนนี แมคไบรด์ (Pineapple Express, Eastbound & Down) และเดเมียน บิเชอร์ กำกับโดยริดลีย์ สก็อตต์ (The Martian) เขียนบทโดยจอห์น โลแกนและดันเต ฮาร์เพอร์ จากเนื้อเรื่องโดยแจ็ค พาเกลนและไมเคิล กรีน ผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ ริดลีย์ สก็อตต์, มาร์ค ฮัฟแฟม, ไมเคิล เชเฟอร์, เดวิด ไกเลอร์ และวอลเตอร์ ฮิลล์ จัดจำหน่ายโดย 20th Century Fox ภาพยนตร์เรื่อง ALIEN: COVENANT มีกำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกในวันที่ 10 พฤษภาคม 2017
ขอต้อนรับสู่ยานโคเวแนนท์
เริ่มต้นมา ริดลีย์ สก็อตต์ก็เรียกหาเลือดก่อนเลย
"ผมว่าประโยคแรกที่ริดลีย์พูดก็คือ 'เราจะทำหนังเรตอาร์แบบเต็มสูบ คงต้องใช้แคลเร็ตเยอะหน่อยนะ' แคลเร็ตคือคำที่ใช้เรียกเลือดเทียมในหนัง" มาร์ค ฮัฟแฟม ผู้อำนวยการสร้างของ ALIEN: COVENANT กล่าว "เราพูดเรื่องนี้กันมาตั้งแต่เริ่มแรก ว่าเราจะต้องทำให้ทุกคนต้องสะดุ้งโหยงให้ได้"
ถ้าจะมีใครสักคนรู้วิธีทำให้ผู้ชมหวาดกลัวด้วยการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนและชาญฉลาด คนคนนั้นก็ต้องเป็นสก็อตต์ หนัง Alien ภาคแรกของเขายังคงเป็นมาตรฐานของหนังสยองขวัญ ด้วยการสร้างบรรยากาศตึงเครียดในฉากแคบชวนอึดอัด เป็นหนังที่กระชับและทรงพลังไม่แพ้สัตว์ร้ายที่แคล่วคล่องว่องไวซึ่งติดตามเอลเล็น ริพลีย์และลูกเรือบนยานนอสโทรโมเมื่อปี 1979 "มันก็น่าตลกดีนะที่ผมมักมองว่า Alien เป็นหนังเกรดบีที่ทำออกมาดี" สก็อตต์กล่าว "ตัวเนื้อหารองก็เป็นแบบพื้นฐานทั่วไป ที่ให้คนเจ็ดคนถูกขังอยู่ในบ้านเก่ามืดๆ แล้วดูว่าใครจะตายก่อนและใครจะรอด"
ใน ALIEN: COVENANT ผู้กำกับที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์รายนี้ตั้งใจถ่ายทอดบรรยากาศเดิมๆ ที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกลัวอันตรายอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ให้ข้อมูลใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความละเอียดลึกซึ้งให้กับตำนาน Alien ที่ขยายกว้างมากขึ้น เขากล่าวว่าจำเป็นต้องใช้แนวทางนี้เพื่อให้การเล่าเรื่องมีความแปลกใหม่และน่าประหลาดใจอยู่เสมอ "คุณจะให้สัตว์ประหลาดไล่ล่าตัวละครตามทางเดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้ มันจะน่าเบื่อ" สก็อตต์กล่าว "ผมคิดขึ้นมาได้ว่ายังไม่เคยมีคนตั้งคำถามว่าใครสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาและสร้างขึ้นมาทำไม คุณอาจบอกว่าสัตว์ประหลาดจากอวกาศ พระเจ้าจากอวกาศ หรือเอนจิเนียร์จากอวกาศอันห่างไกลสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา แต่ไม่ใช่หรอกครับ ALIEN: COVENANT จะมาพลิกความคิดนี้"
หนังเรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยภารกิจอันสันติเพื่อนำมนุษย์ออกจากอาณาเขตจำกัดบนโลกสู่การตั้งถิ่นฐานท่ามกลางดวงดาว ผู้โดยสารบนยานโคเวแนนท์เป็นคู่รักที่จะสร้างประชากรบนดาวออริเก-6 รวมถึงตัวอ่อนอีกจำนวนมากเพื่อช่วยสร้างอาณานิคมแห่งใหม่ ผู้รับหน้าที่ดูแลคนเหล่านี้ก็คือลูกเรือบนยาน อันได้แก่ กัปตันเจค็อบ (เจมส์ ฟรังโก) และภรรยา แดเนียลส์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการแปรสภาพดวงดาว (แคเธอรีน วอเตอร์สตัน), รองกัปตัน คริสโตเฟอร์ โอรัม (บิลลี ครูดัพ) และนักชีววิทยาผู้เป็นภรรยา แครีน (คาร์เมน เอโจโก), นักบินจอมโวยวาย เทนเนสซี (แดนนี แมคไบรด์) และฟาริส (เอมี ไซเมตซ์), หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย จ่าโลพ (เดเมียน บิเชอร์) และรองหัวหน้าผู้เป็นสามี จ่าฮอลเล็ตต์ (นาธาเนียล ดีน) นอกจากนี้ยังมีหุ่นแอนดรอยด์อย่างวอลเตอร์ (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) หุ่นผู้ซื่อสัตย์ประจำยานโคเวแนนท์ที่คอยดูแลผู้โดยสารซึ่งอยู่ในภาวะจำศีลจนกว่ายานจะเดินทางถึงที่หมาย
เมื่อการระเบิดของดวงดาวสร้างความเสียหายให้ตัวยาน วอลเตอร์จึงจำเป็นต้องปลุกลูกเรือขึ้นมาก่อนเวลาอันควรเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ ทว่าเครื่องทำงานผิดพลาดทำให้กัปตันติดอยู่ในเครื่องไฮเปอร์สลีพและต้องเผชิญความตายอย่างโหดร้ายทรมาน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้โอรัมผู้มีศรัทธาแรงกล้าในศาสนาได้ขึ้นเป็นกัปตันแทน และแดเนียลส์ก็เสียศูนย์ด้วยความโศกเศร้าที่ต้องเสียสามีไป
แดเนีลลส์ปลอบใจตัวเองด้วยการใช้เวลาอยู่กับลูกเรือผู้โดดเดี่ยวเพียงคนเดียวบนยานลำนี้ นั่นคือวอลเตอร์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชมจะต้องคุ้นหน้าคุ้นตาตัวละครตัวนี้เป็นอย่างดี เขาเป็นหุ่นที่ได้รับการพัฒนาจากเดวิด หุ่นแอนดรอยด์ผู้หลงใหลหนังเรื่อง Laurence of Arabia ซึ่งรับบทโดยฟาสเบนเดอร์ใน Prometheus แม้ว่าเขาจะมีเทคโนโลยีเหนือกว่าแอนดรอยด์รุ่นก่อนหน้า แต่เขาก็มีอารมณ์ความรู้สึกที่ค่อนข้างจำกัด เขาไม่สามารถตกหลุมรักได้ และเขาถูกวางโปรแกรมให้ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อลูกเรือยานโคเวแนนท์โดยไร้ข้อแม้ใดๆ ฟาสเบนเดอร์พูดถึงเขาว่าเป็น "สุดยอดพ่อบ้าน"
"จุดประสงค์ลำดับแรกสุดของเขาคือการปกป้องและรับใช้เหมือนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดี" นักแสดงรายนี้กล่าว "เขาใช้ตรรกะเหตุผลล้วนๆ โดยปราศจากอารมณ์ แม้ว่าผู้คนรอบตัวเขา โดยเฉพาะแดเนียลส์ จะพยายามค้นหาอารมณ์ความรู้สึกที่สื่อถึงกันได้ในตัวเขา แต่ก็ไม่มีอะไรแบบนั้น"
แม้จะถูกวางโปรแกรมไว้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างวอลเตอร์กับแดเนียลส์ก็ซับซ้อนและคล้ายจะแฝงความผูกพันเอาไว้ วอเตอร์สตันกล่าวว่า "แดเนียลส์หันมาพึ่งเขาหลังจากเจคอบส์ตาย เธอสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เขามากกว่าเมื่ออยู่กับลูกเรือคนอื่นๆ เพราะในแง่หนึ่งเขามีอารมณ์ความรู้สึกที่จำกัด การอยู่ใกล้คนที่ไม่เข้าใจว่าเธอผ่านอะไรมาบ้างจึงเป็นเรื่องง่าย เพื่อที่เธอจะได้อยู่กับความเศร้าของเธอไปตามลำพัง เธอไม่จำเป็นต้องคอยสื่อสารโต้ตอบกับเขา เธอผูกพันกับเขาเพราะมีแค่สองคนนี้ที่ไม่มีคู่บนยานลำนี้"
ขณะที่ยานโคเวแนนท์พยายามกอบกู้สถานการณ์หลังเกิดเหตุร้าย พวกเขาก็ต้องมาพบเหตุไม่คาดฝันอีกครั้ง ขณะที่เทนเนสซีอยู่นอกยานเพื่อซ่อมแผงเก็บพลังงาน เขาก็ได้ยินรหัสข้อความที่คล้ายสัญญาณขอความช่วยเหลือ เหล่าลูกเรือแกะรอยหาแหล่งส่งสัญญาณนั้นและพบว่ามันมาจากดาวดวงหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ ด้วยแรงศรัทธาทางศาสนา โอรัมได้ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางใหม่เพื่อพายานไปสู่เสาส่งสัญญาณแห่งนั้น เขาหนักใจที่ต้องมารับภาระการเป็นผู้นำ และมักนำลูกประคำโลหะติดตัวไปด้วยเสมอเพื่อช่วยให้ตัวเองสงบจิตสงบใจเมื่อเกิดภาวะกดดัน
"ทันทีที่เขาได้รับโอกาสนี้ ผมคิดว่าการต้องแบกชีวิตคนกว่า 2,000 คนเอาไว้นั้นภาระอันยิ่งใหญ่เกินไป" ครูดัพกล่าว "เขาลังเลสงสัยในตัวเองว่าเขาจะจัดการกับความกลัวได้ดีแค่ไหนเมื่อต้องนำผู้คนมากมายไปสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก ผมว่านั่นเป็นส่วนสำคัญของเรื่อง เรื่องที่ว่าเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับลูกเรือคนอื่นๆ และสุดท้ายเขาจะค้นหาความมั่นใจ ความชัดเจน และความถูกต้องเชิงศีลธรรมในการปกป้องคนเหล่านี้ได้อย่างไร
"เวลาที่เกิดความสับสนหวาดกลัวเป็นเวลาที่คุณจะต้องตั้งมั่นในศรัทธาเพราะศรัทธาจะช่วยให้คุณมีความเข้มแข็งและชัดเจน คุณจะไม่เอาแต่รอรับสถานการณ์อันตรายที่เกิดขึ้น" ครูดัพกล่าวต่อ
ภรรยาผู้มั่นคงหนักแน่นของโอรัม ซึ่งรับบทโดยนักแสดงชาวอังกฤษ เอโจโก ก็เป็นหลักยึดให้โอรัมเช่นเดียวกัน "โอรัมมีความรักอันลึกซึ้งในตัวเธอ" ครูดัพกล่าว "แรงสนับสนุนจากเธอเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เขาฝ่าฟันสิ่งต่างๆ ไปได้ ผมไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงถ้าขาดเธอ เพราะเธอสามารถเข้าถึงบางส่วนในตัวเขาซึ่งเขาไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามา"
พายุไอออนที่ล้อมรอบชั้นบรรยากาศของดาวทำให้ยานโคเวแนนท์ไม่สามารถลงจอดบนผิวดาวได้ ดังนั้นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยที่จะลงไปยังผิวดาวจึงถูกส่งตัวลงไปแทน โดยมีเทนเนสซีคอยขับยานแม่วนรอบดาว เมื่อแมคไบรด์ นักแสดงและมือเขียนบทซึ่งเป็นที่รู้จักจากบทตลกในหนังอย่าง Pineapple Express ได้พบสก็อตต์เป็นครั้งแรกเพื่อพูดคุยเรื่องการรับบทเป็นเทนเนสซี ผู้กำกับรายนี้ก็มีตัวละครที่ใช้อ้างอิงชัดเจนอยู่ในใจตั้งแต่แรก นั่นก็คือ ผู้พัน ที เจ 'คิง' คอง ซึ่งรับบทโดยสลิม พิคเคนส์ในหนังเสียดสีคลาสสิกของสแตนลีย์ คูบริคเรื่อง Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb
"ริดลีย์กล่าวว่าเทนเนสซีเป็นการย้อนรำลึกถึงตัวละครตัวนี้ ดังนั้นเราจึงพยายามหาหมวกคาวบอยที่และชุดนักบินที่เหมาะที่สุด" แมคไบรด์กล่าว "แต่ในบทเขียนตัวละครตัวนี้เอาไว้ชัดเจนมาก จนผมรู้เลยว่าต้องเล่นยังไง ริดลีย์ สก็อตต์หานักแสดงที่เขาต้องการ คนที่เขารู้ว่าสามารถถ่ายทอดบทได้ด้วยตัวเอง จากนั้นค่อยมาให้แนวทางอีกที ถ้าคุณไปไกลเกินไป เขาจะนำคุณกลับมา แต่เขาก็จะคอยดูอยู่ว่าคุณจะใส่อะไรเข้ามาในบทบาทบ้าง"
ขณะที่แดเนียลส์ โอรัม คารีน วอลเตอร์ ฟาริส และคนอื่นๆ มุ่งหน้าสู่ผิวดาวด้วยยานแลนเดอร์พร้อมกับทีมรักษาความปลอดภัย เทนเนสซีจึงเป็นผู้บังคับยานโคเวแนนท์ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและการนำทาง อัพเวิร์ธ (แคลลี เฮอร์นานเดซ และสามีของเธอ ริค แต่ในไม่ช้าเทนเนสซีก็เริ่มกระสับกระส่ายร้อนใจเพราะพายุทำให้เขาไม่สามารถติดต่อกับทีมภาคพื้นดินได้ "สิ่งที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งในบทหนังเรื่องนี้ก็คือเรื่องที่ว่ายานลำนี้เต็มไปด้วยคู่รัก ดังนั้นเดิมพันความเสี่ยงจึงยิ่งสูงขึ้นเมื่อเกิดเหตุน่าสะพรึงกลัว" แมคไบรด์กล่าว "เพราะไม่ใช่แค่ตัวคุณเองที่ต้องเอาชีวิตรอด แต่ยังมีคนที่มาพร้อมกับคุณด้วย"
หลังจากความเงียบอันยาวนานชวนหงุดหงิด พวกเขาก็ต้องตัดสินใจว่าจะนำยานโคเวแนนท์เข้าไปใกล้ดาวมากขึ้นหรือไม่ อัพเวิร์ธทะเลาะกับเทนเนสซีเรื่องการรักษากฎระเบียบเพื่อไม่ให้ยานโคเวแนนท์และมนุษย์ที่อยู่บนยานต้องเสี่ยงอันตราย "การควบคุมสถานการณ์ไม่ได้มันน่าหงุดหงิดเอามากๆ" เฮอร์นานเดซ (La La Land) อธิบาย "การติดต่อขาดหายไป ถ้าคุณพยายามติดต่อกับเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม แล้วคุณสูญเสียการติดต่อไป คุณก็ต้องต่อสู้เพื่อให้การติดต่อนั้นกลับมาให้ได้ นั่นคือสิ่งที่เทนเนสซีพยายามจะทำ"
ยานแลนเดอร์ฝ่าพายุและได้รับความเสียหาย แต่ทีมนักสำรวจก็มาถึงดาวได้อย่างปลอดภัยและได้พบทิวทัศน์อันงดงามชวนตื่นตา แต่มีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ในความยิ่งใหญ่นี้ สภาพแวดล้อมรอบตัวเงียบสงัดจนผิดสังเกต "ดาวดวงนี้งดงามน่ามหัศจรรย์และกว้างใหญ่จนน่าหวาดหวั่น" สก็อตต์ อธิบาย "เป็นดาวที่ตายแล้ว เหมือนบ้านผีสิง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ เลยนอกจากพืชและต้นไม้ ไม่มีสัตว์เลยสักตัวเดียว"
ขณะที่ฟาริสอยู่ใกล้ยานแลนเดอร์เพื่อซ่อมตัวยาน คารีน พร้อมด้วยผู้คุ้มกัน พลทหารเลดวอร์ด (นักแสดงชาวออสเตรเลีย เบนจามิน ริกบี) ก็ออกไปเก็บตัวอย่างทางชีววิทยา การเดินทางเข้าสู่พื้นที่ซึ่งผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ นั้นนำไปสู่ความเลวร้าย เลดวอร์ดล้มป่วยหนักโดยหาสาเหตุไม่ได้ และคารีนก็พยายามนำเขากลับไปยังห้องพยาบาลของยานแลนเดอร์
กลับมาที่ยาน ฟาริสเริ่มได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือเร่งด่วนจากเพื่อนร่วมทีม "ริดลีย์ถ่ายทำฉากนี้โดยให้ฉันอยู่ใต้ยานแลนเดอร์กลางมิลฟอร์ดซาวด์ในนิวซีแลนด์" ไซเมตซ์ (The Girlfriend Experience) เล่า "ฉันอยู่ตามลำพังและได้ยินเสียงพูดด้วยความหวาดกลัวดังเป็นห้วงๆ อยู่ในหูฟังและต้องตอบสนองต่อเสียงนั้น ฉันทำอะไรไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงไหน พวกเขาฟังดูสับสน และอินเตอร์คอมก็กำลังจะพัง การสร้างฉากให้ออกมาแบบนั้นดูน่าขนลุก แล้วก็น่าทึ่งด้วยเพราะสำหรับริดลีย์ ฉากนี้มีประสิทธิภาพในการสื่อสารผ่านการแสดง"
เมื่อเลดวอร์ดและคารีนมาถึงห้องพยาบาล เหตุการณ์เลวร้ายก็ปะทุขึ้น สิ่งที่คารีนเห็นใต้แสงไฟสว่างจ้าก็คือการกำเนิดอันน่าสะพรึงกลัวของนีโอมอร์ฟ สายพันธุ์เอเลี่ยนใหม่ล่าสุดในทำเนียบสัตว์ประหลาดของแฟรนไชส์นี้ เอโจโกกล่าวว่า "คารีนไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร และความลึกลับของมันในตอนนั้นเองที่จับต้องได้และทรงพลังมากที่สุด ไม่เหมือนการเผชิญหน้ากับเสือซึ่งคุณพอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เราไม่มีทางที่จะต่อรองกับสิ่งมีชีวิตพวกนี้ได้เลย
"นั่นคือช่วงเวลาแรกที่ผู้ชมจะได้นึกถึงความหวาดกลัวอย่างที่เราเคยได้รับจากหนังตระกูล Alien" เธอเสริม "คุณรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นซึ่งเราไม่อาจเข้าใจได้จนทำให้มันน่าสะพรึงกลัว"
สถานการณ์อยู่นอกเหนือการควบคุมเมื่อสัตว์ร้ายตัวนี้อาละวาดไปทั่วยานแลนเดอร์และคุกคามทุกสิ่งที่เข้ามาในเส้นทางของมัน ลูกเรือกำลังตกอยู่ในภาวะสิ้นหวังเมื่อความช่วยเหลือมาถึงในรูปของบุคคลลึกลับสวมหมวกฮู้ด ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีวิธีการแปลกๆ ในการควบคุมสายพันธุ์นักล่ารายนี้ ผู้ช่วยเหลือที่มาปรากฏตัวโดยไม่คาดหมายนี้ก็คือเดวิดจากยานโพรเมเธอุส ซึ่งใช้ชีวิตตามลำพังมานานราวหนึ่งทศวรรษและดูโทรมลงไปมาก
"ตอนที่เราได้พบเดวิดใน ALIEN: COVENANT เขาไม่ค่อยใส่ใจตัวเองนัก" ฟาสเบนเดอร์กล่าว นอกจากรับบทเป็นวอลเตอร์แล้ว เขายังกลับมารับบทเดิมจาก Prometheus ด้วย "เขาไว้ผมยาว หนวดเครารุงรัง เขาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังบนดาวดวงนี้ และสำรวจความสามารถในการสร้างสรรค์ของตัวเองผ่านการเล่นดนตรีและการวาดภาพ"
เดวิดพากลุ่มนักสำรวจผู้หวาดกลัวไปยังที่หลบภัยในเมืองร้าง แต่ทุกนาทีที่ผ่านไปกลับนำไปสู่ภัยคุกคามใหม่ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ "ณ จุดนี้ เราแค่ต้องการมีชีวิตรอดกลับไปแบบครบสามสิบสอง แต่เราก็เริ่มเสียคนในทีมไปและเราก็เสียยานแลนเดอร์ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่เราจะออกไปได้" บิเชอร์ (A Better Life, The Hateful Eight) กล่าว "โลพต้องกลับมาควบคุมสถานการณ์และตั้งสติเอาไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"
แม้เป็นทหารที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน แต่การต้องมาเห็นลูกทีมบาดเจ็บล้มตายก็เป็นเรื่องหนักหนาสาหัส "แม้กระทั่งในฝันร้ายที่สุดเขาก็ยังไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับมนุษย์ พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร และยิ่งไปกว่านั้นคนรักของเขา ฮอลเล็ตต์ ก็ตกอยู่ในอันตรายด้วย" บิเชอร์กล่าว
เมื่อพูดถึงความสมจริงในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างฮอลเล็ตต์และโลพนั้น ดีนกล่าวว่า "พวกเขาแต่งงานกันมาสองสามปีแล้ว พวกเขารักกัน เราไม่ได้เน้นเรื่องที่ว่าพวกเขาเป็นเกย์ ผมว่าเป็นเรื่องดีมากที่ริดลีย์และทีมผู้อำนวยการสร้างนำเอาเนื้อหาส่วนนี้ใส่ลงไปในเรื่องราวในอวกาศและในแฟรนไชส์ Alien เพราะเราก็น่าจะหวังว่าเรื่องนี้คงไม่เป็นประเด็นอะไรสำหรับมนุษย์ในอนาคต ทั้งคู่เป็นคนดีที่รักกันและกัน แถมยังเป็นนายทหารสุดเท่ที่ใช้ปืน M-4 ได้เก่งซะด้วย!"
บิเชอร์และเพื่อนนักแสดงที่เล่นเป็นทหารเข้ารับการฝึกใช้อาวุธและฟิตซ้อมร่างกายอย่างหนัก แต่นอกเหนือจากการเตรียมสภาพร่างกายแล้ว บิเชอร์ยังได้พบว่าการทำงานร่วมกับริดลีย์ สก็อตต์แบบตัวต่อตัวเพื่อสร้างสภาพจิตใจภายในของโลพก็มีประโยชน์มากเช่นกัน "บางครั้งเราก็ได้ทำงานในหนังซึ่งไม่มีโอกาสได้ซ้อมหรือแม้กระทั่งคุยเรื่องตัวละครกับผู้กำกับ" บิเชอร์กล่าว "นักแสดงมีวิธีการมากมายในการเข้าถึงบทบาท และเราก็ควรพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาในทุกสถานการณ์ แต่การได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้กำกับแบบตัวต่อตัวเป็นก็ส่วนที่ดีอย่างยิ่งในการทำงานครั้งนี้ครับ"
ที่กองถ่าย บิเชอร์พบว่าการได้ทำงานกับสก็อตต์เป็นประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น "ชื่อของเขาเป็นชื่อหนึ่งที่ควรใส่ไว้ในคำอธิษฐานช่วงคริสต์มาสครับ" บิเชอร์ "ผมอยากเห็นว่าจูลส์ เวิร์นเขียนหนังสืออย่างไร หรือไมเคิลแองเจโลทำงานอย่างไรเมื่ออยู่ในสตูดิโอตามลำพัง เมื่อผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับอัจฉริยะในยุคสมัยของผม ผมก็ถือว่านี่เป็นของขวัญอีกชิ้นหนึ่ง"
"ผมคิดว่าริดลีย์ช่วยยืนยันกับเราว่ายอดฝีมือทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องเรียบง่ายธรรมดาด้วยความใส่ใจ" บิเชอร์กล่าวต่อ "เขามีความช่ำชอง ฉลาด และแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยวิธีการที่เรียบง่าย มีความง่ายดายอยู่ในความซับซ้อนของมันเอง เขามีพลังเต็มเปี่ยมยิ่งกว่าเราทุกคนรวมกัน เขาคอยดูแลทุกอย่างอยู่เสมอและพร้อมตลอดเวลา"
ขณะที่บิเชอร์เพิ่งเคยทำงานร่วมกับสก็อตต์ ALIEN: COVENANT นับเป็นการทำงานร่วมกันครั้งที่สามระหว่างฟาสเบนเดอร์กับผู้กำกับรายนี้หลังจาก Prometheus และ The Counselor "ไมเคิลเป็นนักแสดงที่เก่งมาก แล้วก็มีอารมณ์ขันดีเยี่ยม" สก็อตต์กล่าว "ผมสนุกทุกครั้งที่ได้ร่วมงานกับเขา ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ ผมมักพยายามค้นหาอีกด้านหนึ่งในตัวไมเคิล ซึ่งก็คืออารมณ์ขันแบบขี้เล่นของเขา"
นักแสดงและผู้กำกับรายนี้ร่วมกันสำรวจวงจรภายในอันซับซ้อนในตัวเดวิด ตลอดจนดึงเอาความเจ้าเล่ห์และชอบทำลายล้างในตัวเขาออกมาด้วย "ริดลีย์กับผมพยายามค้นหาอารมณ์ขัน หาความตลกในตัวเขา" ฟาสเบนเดอร์กล่าว "เวลาที่เราหัวเราะ เรามักจะไม่ทันระวังตัว ดังนั้นเราจึงสัมผัสความน่าตกใจและความน่ากลัวได้เต็มที่มากกว่า ถ้าในตอนนั้นเราไม่ได้เฉื่อยชาเพราะขาดอารมณ์ขัน"
เมื่อเหตุร้ายทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ลูกเรือยานโคเวแนนท์จึงต้องดำเนินภารกิจกู้ภัยอันกล้าหาญเพื่อหนีรอดไปให้ได้ แดเนียลส์ต้องงัดความกล้าในตัวเองออกมาและเป็นผู้นำปฏิบัติการภาคพื้นดิน "เรื่องราวดำเนินไปเร็วมาก" วอเตอร์สตันกล่าว "ก็เลยไม่มีเวลาให้ตัวละครมานั่งวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนต้องลงมือทำ"
วอเตอร์สตันดำเนินรอยตามก้าวย่างอันมั่นคงของริพลีย์ ซึ่งรับบทโดยซิกอร์นีย์ วีเวอร์ เธอคำนึงถึงสถานะของแดเนียลส์ในทำเนียบฮีโร่หญิงจากหนังของสก็อตต์ "ริดลีย์เป็นผู้กำกับที่มักจะนำเสนอผู้หญิงออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือตรงตามความเป็นจริง เขาสนใจตัวละครลักษณะนี้อยู่แล้ว" วอเตอร์สตันกล่าว "แดเนียลส์เป็นคนประเภทที่จะโดดเด่นขึ้นมาในภาวะวิกฤติ ในตอนต้นเรื่อง แดเนียลส์มีความสามารถ ฉลาด และทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่ฉันคิดว่าเธอคงไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นฮีโร่ แต่เมื่อเหตุการณ์ในเรื่องดำเนินไป เธอก็ยังพยายามรับมือกับสถานการณ์และมีมุมมองที่ชัดเจนในภาวะวิกฤติ สำหรับฉันมันง่ายกว่าค่ะที่จะเข้าถึงตัวละครซึ่งเพิ่งมาตระหนักในภายหลังว่าตัวเองมีความสามารถและกล้าหาญ ไม่ใช่ตัวละครประเภทที่พร้อมจะสู้มาตั้งแต่เกิด ฉันไม่รู้จักใครที่เป็นแบบนั้นค่ะ"
สก็อตต์เริ่มสนใจวอเตอร์สตันจากบทบาทแจ้งเกิดของเธอในหนังของพอล โธมัส แอนเดอร์สัน เมื่อปี 2014 ซึ่งดัดแปลงมาจากผลงานของโธมัส พินชอน เรื่อง Inherent Vice เขากล่าวว่าเธอรับบทเป็นแดเนียลส์ได้อย่างลงตัว "ผมต้องการคนที่สูง สง่า แข็งแรงแบบนักกีฬา และเป็นนักแสดงที่เก่งด้วย" ผู้กำกับกล่าว "เธอเป็นคนที่พิเศษ ที่น่าสนใจคือทั้งเธอและบิลลี ครูดัพ มาจากการแสดงละครเวที และทั้งคู่ก็นำเอาเทคนิค ความรู้ และความละเอียดอ่อนมาใช้ในงานนี้ด้วย เวลาคุณทำหนังที่เต็มไปด้วยคนตายและภัยคุกคามอย่างหนัก ตัวละครจะต้องแสดงความกลัวออกมาตลอดเวลา ความกลัวนั้นมีหลายระดับ และความสำนึกเสียใจก็มีหลายระดับเช่นเดียวกัน คนที่มีภูมิหลังมาจากงานละครเวทีสามารถสำรวจลึกลงไปและนำความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้ มันช่วยได้มากเลยล่ะครับ"
ผู้อำนวยการสร้างฮัฟแฟมกล่าวชมผลงานของวอเตอร์สตันในหนังเรื่องนี้เช่นเดียวกัน "แคเธอรีนต้องรับบทหนักในหนังเรื่องนี้ แล้วเธอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม" เขากล่าว "เธอกระตือรือร้นในการรับบทนี้และพร้อมทำทุกอย่างที่เรามอบหมายให้ เธอต้องแขวนตัวด้วยลวดสลิงและลอยไปมาอยู่กลางอากาศ กระเด็นออกจากแท่นเหล็ก และต่อสู้สุดชีวิต เธอทำได้ดีเลยล่ะครับ เธอรับบทบาทเป็นแอ็คชันฮีโร่หญิงได้อย่างเต็มตัวเลย"
ความหนักหน่วงของบทบาทนี้ทำให้วอเตอร์สตันต้องผ่านการฟิตซ้อมร่างกายอันทรหด ฝึกฝนการต่อสู้อย่างหนัก ทั้งยังต้องเรียนการใช้อาวุธอย่างละเอียดด้วย "เหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่นเลยค่ะ" วอเตอร์สตันกล่าว "เป็นเรื่องสนุกมากที่ได้ฝึกฝนท่าทางการต่อสู้ และสำรวจความแข็งกร้าวในตัวเองซึ่งฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้สำรวจในชีวิตส่วนตัวหรือในหนังเรื่องอื่นๆ"
ขณะที่ตัวละครนำหญิงสุดเท่ดำเนินรอยตามเหล่าวีรสตรีผู้ทรงพลังในผลงานอื่นๆ ของสก็อตต์ แต่สัตว์ร้ายที่เธอจะต้องเผชิญนั้นกลับให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ แม้กระทั่งในฉากที่ตัวซีโนมอร์ฟแบบดั้งเดิมกลับมาปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง "สำหรับผมแล้ว ALIEN: COVENANT มีหลายอย่างคล้ายกับ Alien ภาคแรก" ฟาสเบนเดอร์กล่าว "มันมืดหม่นสมจริง และตั้งแต่ตอนที่ยานโคเวแนนท์เจอพายุอวกาศ เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่มีหยุดจนกระทั่งถึงเฟรมสุดท้าย หลังจากหนังเริ่มมาได้แค่สิบนาที มันก็พุ่งทะยานไปไม่มีหยุด ผมว่านี่จะเป็นหนังที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งเลยครับ"
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ใน ALIEN: COVENANT ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้กำกับริดลีย์ สก็อตต์ได้กลับมาสู่งานที่เขาถนัดอีกครั้ง นั่นคือการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ในความน่าสะพรึงกลัว และสัมผัสจับต้องได้ พร้อมด้วยมุมมองและความจัดเจนที่ไม่แพ้หนัง Alien ภาคแรก คุณจะได้พบหนังสยองขวัญเรตอาร์ที่สุดระทึกจนฉุดไม่อยู่
"ผมหวังว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้คนดูกระสับกระส่าย ช่วยให้เลือดสูบฉีดไหลเวียน และหัวใจเต้นระทึก" ผู้กำกับรายนี้กล่าว "ผมหวังว่าลำคอของคุณจะแห้งผากแต่ก็ไม่อาจละสายตาไปจากจอได้ การทำให้คนหวาดกลัวสุดขีดเป็นเรื่องยากอยู่นะครับ แต่หนังเรื่องนี้อาจทำให้คนดูฝันร้ายเลยล่ะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี"
ข้อมูลงานสร้าง
ALIEN: COVENANT ใช้เวลาถ่ายทำนาน 74 วันที่โรงถ่ายฟ็อกซ์สตูดิโอ ออสเตรเลีย และถ่ายทำนอกสถานที่ที่มิลฟอร์ดซาวด์ในนิวซีแลนด์เมื่อปี 2016 สก็อตต์มอบหมายให้นักออกแบบงานสร้าง คริส ซีเกอร์ส สร้างยานโคเวแนนท์ตามภาพที่เขาคิดไว้
"การสร้างยานอวกาศเป็นเรื่องยากเสมอครับ" สก็อตต์เสริม "ยานโคเวแนนท์เป็นยานบุกเบิก เหมือนรถม้าที่มีหลังคาคลุมในยุคบุกเบิกอเมริกา มันไม่ใช่ยานที่เน้นความสมบุกสมบัน แต่เป็นยานบุกเบิกสำหรับภารกิจทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำคนและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ไปตั้งถิ่นฐานบนดาวดวงใหม่ เมื่อคิดตามหลักเหตุผล มันก็เหมือนรถไฟบรรทุกสินค้า ตัวยานแบ่งออกเป็นสามส่วนโดยมีจุดเชื่อมเป็นรูปทรงหกเหลี่ยมซึ่งเป็นอู่ซ่อมขนาดใหญ่ แต่ละส่วนสามารถแยกออกจากกันได้แบบครั้งเดียวจบ ลงจอดบนผิวดาวโดยมีเสารองรับ แล้วคุณก็จะได้โกดังขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์พร้อม"
"ผมเคยคุยกับริดลีย์ว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันดูคล้ายกับยานอวกาศ" ซีเกอร์ส (Deepwater Horizon, Fantastic Four) กล่าว "ภายนอกดูเหมือนถังน้ำมันขนาดใหญ่แต่ข้างในเต็มไปด้วยเทคโนโลยี และไม่จำเป็นต้องใช้คน มันทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ เช่นเดียวกับเทคโนโลยีทางอวกาศ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับระบบนำทางและนำร่อง ซึ่งเขาก็ชอบแนวคิดนี้ ดังนั้นเราจึงเริ่มอ้างอิงข้อมูลจากการออกแบบในแวดวงอุตสาหกรรม"
ในแง่องค์ประกอบงานสร้าง Alien ภาคแรกนับว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการ เพื่อเพิ่มบรรยากาศชวนอึดอัดในที่แคบภายในยานโคเวแนนท์ ซีเกอร์สและทีมงานได้ออกแบบยานให้มีเพดานต่ำและให้ทางเดินปกคลุมด้วยความมืด การสร้างห้องบังคับการยานให้ทำงานได้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับสก็อตต์ซึ่งต้องการให้นักแสดงได้สัมผัสประสบการณ์จริง ด้วยเหตุนี้ทีมออกแบบงานสร้างจึงได้ติดตั้งวงจรไฟฟ้า 1,500 วงจร เพื่อให้สวิตช์และปุ่มหมุนทั้งหมดทำงานได้จริง
"ผมรู้สึกเหมือนอยู่บนยานอวกาศที่ใช้งานได้จริง" ฟาสเบนเดอร์กล่าว "ไม่ว่าจะเป็นทางเดินในยาน ห้องบังคับการ และห้องสำหรับการหลับจำศีล งานออกแบบทั้งหมดมีรายละเอียดซับซ้อน ซึ่งหาได้ยากในหนังแฟนตาซีหรือหนังแอ็คชันเน้นคอนเซ็พต์ ปกติแล้วจะต้องใช้ฉากกรีนสกรีนเยอะมาก เราใช้กรีนสกรีนบ้างเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีฉากจริงให้เราได้สำรวจจับต้องและตอบสนอง ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในทุกวันนี้"
"เมื่อเราก้าวเข้าไปในยาน คุณจะรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กเลยล่ะครับ" ครูดัพเสริม "คุณแทบจะไม่เชื่อประสาทสัมผัสของตัวเองเลย คุณรู้สึกเหมือนกำลังร่วมภารกิจในอวกาศจริงๆ"
สก็อตต์ต้องการความสมจริงและยิ่งใหญ่จนทำให้ผู้ควบคุมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์อย่างนีล คอร์บูลด์รู้สึกตื่นเต้น "ริดลีย์เป็นผู้กำกับที่เน้นงานภาพและชอบสร้างบรรยากาศในแบบของเขาเอง" คอร์บูลด์อธิบาย "แม้กระทั่งเวลาน้ำหยด เขาก็ระบุชัดเจนว่ามันควรจะหยดตรงไหนและหยดน้ำนั้นควรจะใหญ่แค่ไหน เขาพิถีพิถันกับรูปลักษณ์ของรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และชอบเอฟเฟ็กต์ที่เป็นของจริง เรายินดีมากในจุดนี้ครับเพราะเป็นโอกาสที่เราจะได้สร้างอุปกรณ์และฉากขนาดใหญ่"
หนึ่งในอุปกรณ์ขนาดใหญ่นั้นก็คือแท่นหมุนยักษ์สองแท่น แท่นหนึ่งหนัก 10 ตัน อีกแท่นหนึ่งหนัก 40 ตัน โดยสร้างขึ้นเพื่อรองรับส่วนหนึ่งของยานแลนเดอร์และยานโคเวแนนท์ในฉากแอ็คชั่นซึ่งตัวยานได้รับความเสียหาย ทั้งจากการฝ่าพายุไอออนและการรับแรงระเบิดของดวงดาว "แท่นหมุนหนัก 10 ตันเป็นที่ตั้งของห้องควบคุมยานแลนเดอร์" คอร์บูลด์กล่าว "ยานโคเวแนนท์ที่อยู่บนแท่นหมุนหนัก 40 ตันนั้นมีความยาวประมาณ 20 เมตร และกว้างราวหกเมตร มันจะต้องสั่นและเขย่าได้ซึ่งเป็นงานหนักเหมือนกัน"
ฉากพื้นที่กลางแจ้งบนดาวถ่ายทำกันที่มิลฟอร์ดซาวด์และในโรงถ่ายที่ฟ็อกซ์สตูดิโอ โดยฉากในโรงถ่ายนั้นจัดแสงให้ใกล้เคียงความงามชวนขนลุกของสถานที่ถ่ายทำตามธรรมชาติ "เราได้แรงบันดาลใจจากสภาพอากาศจริงในมิลฟอร์ดซาวด์" ผู้กำกับภาพ ดาริอุสซ์ วอลสกี กล่าว เขาเคยร่วมงานกับสก็อตต์มาแล้วหลายครั้ง "มีเมฆหนาแน่นและแสงที่นุ่มนวล บางครั้งแสงอาทิตย์ก็ลอดลงมา แต่ส่วนใหญ่แล้วมีกลุ่มเมฆหนาทึบ เทือกเขาปรากฏขึ้นและหายไปในหมู่เมฆ มีละอองฝนโปรยปราย เราสร้างบรรยากาศแบบเดียวกันนี้ในพื้นที่ภายนอกของสตูดิโอ เราตั้งใจให้ทุกอย่างดูเป็นสีเทาและปกคลุมด้วยเมฆหมอก เหมือนเป็นช่วงย่ำรุ่งหรือย่ำค่ำตลอดเวลา"
สำหรับฉากภายในอาคารของเมืองร้างนั้น สก็อตต์ตั้งใจให้ห้องบางห้องดูคล้ายภาพเขียนยุคศตวรรษที่ 18 โดยในห้องเหล่านี้จะมีการให้แสงอ่อนคล้ายแสงเทียน วอลสกีและทีมกล้องจึงได้คิดระบบที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพในการจัดแสงให้นักแสดง
"เราสร้างระบบไฟที่ควบคุมผ่านการเคลื่อนไหวขึ้นมา" วอลสกีอธิบาย "เมื่อนักแสดงเข้ามา ไฟจะติดขึ้น และเมื่อนักแสดงถอยห่างออกไป ไฟก็จะดับ แต่เดิมนั้นเราจะยกหน้าที่ให้ฝ่ายวิชวลเอฟเฟ็กต์ แต่เมื่อเราตัดสินใจควบคุมแสงด้วยตัวเอง ระบบก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ มีแค่ไม่กี่ฉากที่ต้องใช้ระบบนี้แต่มันก็ทรงพลังมาก"
งานวิชวลเอฟเฟ็กต์อันล้ำสมัยถูกนำมาใช้แต่งเติมภาพที่ถ่ายทำจริงจากกองถ่าย สำหรับการทำงานใน ALIEN: COVENANT ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ ชาร์ลีย์ เฮนลีย์ ได้เลือกทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์ชั้นแนวหน้า อันได้แก่ Animal Logic จากซิดนีย์ MPC (Moving Picture Company) จากสหราชอาณาจักร และ Framestore จากมอนทรีอัล แคนาดา ความท้าทายประการหนึ่งของฝ่ายวิชวลเอฟเฟ็กต์ก็คือสถานที่ซึ่งทีมงานจะต้องสร้างหรือตกแต่งเพิ่มเติมนั้นมีจำนวนมหาศาล ตั้งแต่อวกาศและสภาพแวดล้อมบนผิวดาว ไปจนถึงเมืองร้างที่เดวิดอาศัยอยู่และฉากภายในอาคารของเมืองนี้
"ตัวอย่างเช่น 'Hall of Heads' ซึ่งเป็นฉากที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย ถือเป็นฉากตระการตาที่มีศีรษะขนาดใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่โรงถ่ายและความซับซ้อนในการสร้างองค์ประกอบฉากที่เป็นของจริง เราจึงรับหน้าที่เติมศีรษะที่อยู่ด้านบนไปจนจรดเพดาน" เฮนลีย์กล่าว "แต่เราก็พยายามไม่แต่งให้มากจนเกินไป อย่างเช่น ถ้าเราสร้างช็อตขึ้นจากซีจีทั้งหมด เราก็ต้องแน่ใจว่ากล้องซีจีจับภาพแบบที่สามารถถ่ายทำได้ในความเป็นจริงเมื่อใช้กล้องจริงๆ"
เฮนลีย์ซึ่งเคยทำงานร่วมกับสก็อตต์มาตั้งแต่ Gladiator เมื่อปี 2000 กล่าวว่า เขาประทับใจแนวทางของผู้กำกับรายนี้ที่เน้นการลงมือด้วยตัวเอง "ความน่าทึ่งอย่างหนึ่งในการทำงานกับเขาก็คือเขาวาดสตอรีบอร์ดเอง" เฮนลีย์กล่าว "เป็นสตอรีบอร์ดที่มหัศจรรย์และละเอียดแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ คุณสามารถเห็นภาพหนังราวกับว่าเขากำลังมองผ่านกล้อง แม้กระทั่งในสตอรีบอร์ด คุณก็ยังได้เห็นลักษณะการจัดแสงในฉากด้วย"
สก็อตต์นี่เองที่เป็นต้นคิดว่าหนังเรื่องนี้จำเป็นต้องมีนีโอมอร์ฟ สิ่งมีชีวิตสุดอันตรายสายพันธุ์ใหม่ซึ่งเปิดตัวอย่างน่าเกรงขามเป็นครั้งแรกใน ALIEN: COVENANT นอกเหนือจากไข่เอเลี่ยน เชสต์เบิร์สเตอร์ เฟซฮักเกอร์ และที่ขาดไม่ได้ก็คือซีโนมอร์ฟตัวเต็มวัย ในการสร้างเอเลี่ยนสายพันธุ์นี้ขึ้นมา ผู้กำกับได้อ้างอิงผลงานสุดสร้างสรรค์ของเอช อาร์ กีเกอร์ ศิลปินเซอร์เรียลลิสต์ชาวสวิสที่ได้เสียชีวิตไปแล้วและเป็นอัจฉริยะผู้อยู่เบื้องหลังซีโนมอร์ฟที่มีความน่ากลัวอันเป็นเอกลักษณ์ใน Alien รวมถึงได้แรงบันดาลใจจากสัตว์มหัศจรรย์ในธรรมชาติอย่างฉลามก็อบลินที่มีหน้าตาชวนขนลุก มันเป็นสายพันธุ์นักล่าหายากในทะเลลึกซึ่งมีผิวโปร่งแสงและขากรรไกรยื่นออกมา
"การออกแบบนีโอมอร์ฟไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ" สก็อตต์กล่าว "เป็นความท้าทายครั้งใหญ่เพราะผมต้องมีอะไรบางอย่างนอกเหนือจากสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้ว ผมไม่อยากใช้มันจนเกร่อ ผมอยากเก็บมันเอาไว้ ในแง่หนึ่งนีโอมอร์ฟก็เป็นเหมือนเอเลี่ยนรุ่นแรก แต่มันจำเป็นต้องอาศัยร่างมนุษย์เพื่อยึดเกาะ เพื่อรวมร่าง เพื่อผสมพันธุ์"
ด้วยการอ้างอิงจากภาพวาดของสก็อตต์ที่แสดงให้เห็นว่านีโอมอร์ฟควรมีหน้าตาเป็นอย่างไรและเคลื่อนไหวอย่างไร ผู้ควบคุมการออกแบบเอเลี่ยน คอเนอร์ โอ ซัลลิแวน และทีมงานได้เริ่มทำงานร่วมกับเฮนลีย์และฝ่ายวิชวลเอฟเฟ็กต์เพื่อออกแบบสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ เฮนลีย์อธิบายว่า "ผลงานของคอเนอร์และทีมงานนั้นน่าทึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ มีเลือดจริงและมีร่างกายที่ทำงานได้จริง เราแค่มาช่วยแต่งเติมเท่านั้นเองครับ เมื่อมีการเคลื่อนไหวมากๆ เราก็จะสร้างการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและช่วยให้มันเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแบบที่ไม่สามารถทำขึ้นมาจริงๆ ได้ เป็นการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความสมจริงให้มากที่สุดครับ"
นักแสดงเองก็ประทับใจกับความละเอียดพิถีพิถันของโอ ซัลลิแวนและทีมงาน "มีรายละเอียดในตัวเอเลี่ยนที่ฉันไม่ทันได้เห็นจนกระทั่งมันเข้ามาใกล้ๆ" เอโจโกกล่าว "ทีมงานตั้งใจใส่ความพยายามลงไปเป็นพิเศษ นับเป็นความทุ่มเทที่มอบให้หนังตระกูลนี้และความเป็นไปได้ของศิลปะรูปแบบนี้ ถือเป็นศิลปะขั้นสูงเลยล่ะค่ะ"
ครูดัพมองว่า "ความฉลาดเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีเอกลักษณ์ ริดลีย์สนใจเรื่องชีววิทยามากดังนั้นองค์ประกอบทั้งหมดในตัวเอเลี่ยนจึงเป็นสิ่งที่เขาดึงมาจากธรรมชาติ แม้ว่ามันจะมีความแปลกประหลาดอยู่ในตัว แต่ก็มีสิ่งที่เราคุ้นเคยอยู่ด้วยเช่นกัน"
เรื่องการแต่งกายก็ได้รับความใส่ใจไม่แพ้กัน แจนที เยตส์ ทำงานร่วมกับสก็อตต์มายาวนานในหนังอย่าง Gladiator, Kingdom of Heaven, Robin Hood, Prometheus และ The Martian เธอรู้ทันทีเลยว่า สำหรับหนังที่กระสุนปลิวว่อนและมีเลือดท่วมจอทั้งเลือดมนุษย์และเลือดเอเลี่ยนนั้น เธอจำเป็นต้องทำเสื้อผ้าแบบเดียวกันเอาไว้หลายๆ ชุด
"เราต้องทำเสื้อผ้าเอาไว้หลายๆ ชุด สำหรับนักแสดงแทน...และแม้กระทั่งสำหรับรอยกระสุนที่เล็กที่สุด เราก็ต้องทำเสื้อผ้าใหม่เอาไว้ในกรณีนั้นด้วย" เยตส์กล่าว "ริดลีย์กล่าวด้วยว่า นอกจากชุดที่ใช้ในการหลับจำศีล เขาไม่ต้องการให้ใครก็ตามใส่ชุดเหมือนกัน ดังนั้นฝ่ายรักษาความปลอดภัยจึงมีเสื้อเกราะ รองเท้าบู๊ตที่ทนทานกว่า และอาวุธครบมือ เราต้องกำหนดส่วนนี้ให้ได้ก่อนแล้วจึงไปทำชุดสำรอง เราต้องทำงานแข่งกับเวลาเสมอ"
ถึงอย่างนั้น เยตส์ก็ได้คิดเครื่องแต่งกายที่สื่อความหมายอันละเอียดอ่อนเอาไว้ด้วย เช่น ชุดที่แดเนียลส์ใส่เพื่อไว้อาลัย เธอใส่ชุดที่สามีใส่บนยาน เพื่อจะได้ห่อหุ้มร่างกายของตัวเองด้วยความทรงจำเกี่ยวกับสามี เธอกล่าวว่าช่วงเวลาแบบนี้ชวนให้นึกถึงหนังภาคแรกของสก็อตต์ในแฟรนไชส์นี้ "Alien แหวกขนบอย่างแท้จริงเพราะยานอวกาศในหนังเรื่องนั้นสกปรกเลอะเทอะ" เยตส์กล่าว "เป็นยานที่มีคนอยู่อาศัยมานาน ตัวละครใส่เสื้อผ้าเก่าๆ มีเสื้อฮาวาย แล้วก็มีชุดเครื่องแบบ แต่ก็เป็นชุดเครื่องแบบที่ลำลองมากจนแทบจะไม่นับเป็นชุดเครื่องแบบ มันแตกต่างจากภาพของอวกาศในหนังเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง"
ALIEN: COVENANT ทำให้เยตส์ต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคด้วย สำหรับตัวละครนักบินที่รับบทโดยแดนนี แมคไบรด์ เธอและผู้ช่วยนักออกแบบชุดอวกาศ ไมเคิล มูนีย์ ได้ร่างแบบชุดอวกาศที่ใช้ชื่อว่า "บิ๊ก เยลลา" ซึ่งมีรูปทรงเหมือนชุดประดาน้ำขนาดใหญ่ มูนีย์และ FBFX ในลอนดอน ได้สร้างชุดอวกาศสีเหลืองจากคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งปรากฏอยู่ในหนัง "มันงดงามอย่างยิ่งและใช้เทคโนโลยีที่น่าเหลือเชื่อ" เยตส์กล่าว "เทนเนสซีใส่ชุดนี้เวลาออกไปซ่อมแซมส่วนต่างๆ นอกตัวยาน มันดูโดดเด่นตัดกับชิ้นส่วนแผงพลังงานขนาดใหญ่ที่ขึ้นสนิม มันดูสวยดีค่ะ"