กรุงเทพฯ--4 พ.ค.--ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีความเห็นต่อผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ในช่วงเป้าหมายที่ 0.75-1.00% ตามความคาดหมาย โดยเฟดไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในไตรมาสแรก และเน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน พร้อมระบุว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการลงทุนทางธุรกิจอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้กับระดับเป้าหมายของเฟด สัญญาณล่าสุดดังกล่าวบ่งชี้ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ค่าเงินบาทอ่อนค่าสู่ระดับ 34.57 ต่อดอลลาร์หลังเปิดการซื้อขายเช้านี้ เทียบกับ 34.48 ต่อดอลลาร์เมื่อวานนี้ ท่ามกลางแรงซื้อกลับเข้ามาในเงินดอลลาร์ทั่วโลก โดยดอลลาร์แตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 6 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินเยน หลังแถลงการณ์ของเฟดล่าสุดบ่งชี้ถึงความน่าจะเป็นที่นักค้าเงินประเมินไว้สำหรับการขึ้นดอกเบี้ย เดือนมิถุนายนพุ่งขึ้นสู่ระดับ 80% ทั้งนี้ ท่าทีของเฟดสนับสนุนการคาดการณ์ของกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ที่ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 13-14 มิถุนายน และจะปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีในเดือนธันวาคม ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ปัจจัยชี้นำสำคัญจะอยู่ที่ การรายงานข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเมษายนของสหรัฐในวันที่ 5 พฤษภาคม หลังจากตัวเลขเดือนมีนาคมออกมาแย่กว่าคาด ทั้งนี้ เป็นเรื่องท้าทายอย่างมากที่ค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากความไม่ชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจและมาตรการด้านการคลังของประธานาธิบดีทรัมป์ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ดอลลาร์แข็งค่า เนื่องจากเกรงว่าจะเสียเปรียบด้านการค้ามากยิ่งขึ้นกับประเทศคู่แข่งของสหรัฐ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐช่วงอายุ 10 ปี หรือมากกว่า ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์จำเป็นต้องระดมทุนจากตลาดเป็นจำนวนเงินมาก หากจะเดินหน้าโครงการปฏิรูปภาษีและการลงทุนขนาดใหญ่ โดยตลาดจะให้ความสนใจต่อการแก้ไขร่างกฎหมายสาธารณสุขในคืนนี้ว่า สภาผู้แทนสหรัฐจะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้หรือไม่
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์มองว่า ทิศทางของกระแสเงินทุนที่คาดว่าจะไหลเข้าสู่กลุ่มตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย อาจไม่ยั่งยืน เนื่องจากนักลงทุนในตลาดโลกพร้อมปรับสถานะการลงทุนทุกเมื่อ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง เช่น ความไม่แน่นอนของการขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปของเฟด โดยตลาดยังคงระมัดระวังต่อท่าทีของทางการไทยเกี่ยวกับมาตรการดูแลเงินทุนไหลเข้า นอกจากนี้ หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างมาก และภาวะตลาดการเงินตึงตัวจากการที่เฟดจะเริ่มลดขนาดงบดุลในอนาคต รวมทั้งอาจจะยังปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายควบคู่กันไป ปัจจัยดังกล่าวจะกระตุ้นกระแสเงินทุนไหลออกได้เช่นกัน