กรุงเทพฯ--5 พ.ค.--ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่น
มีความเชื่อกันมานานว่า "เต่า" เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีอายุยืนที่สุดในโลก ซึ่งรวมถึง "ปลาวาฬออร์ก้าในทวีปแอนตาร์กติก" ที่มีอายุขัย 200 ปี และ "ปลาสเตอร์เจียน" ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่ามันสามารถมีอายุได้ถึง 150 ปี และเต่าเจ้าของสถิติโลกมีชื่อว่า "แฮเรียน" มีอายุประมาณ 250 ปี แต่ล่าสุด คณะนักวิทยาศาตร์ได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตที่มีอายุยืนแซงหน้าแชมป์เก่าเหล่านี้ไปแล้ว นั่นคือหอยตลับน้ำลึก "Ocean Quahog" หรือหอยหมิง ที่ได้ชื่อนี้เพราะพบว่าหอยตัวนี้เกิดในปี ค.ศ. 1499 ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์หมิงเรืองอำนาจ โดยหอยหมิงตัวนี้มีอายุยืนถึง 507 ปี
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความลับของหอยที่มีอายุยืนยาวได้ขนาดนี้ มาจากเอ็นไซม์ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "เอสโอดี" (SOD) Superoxide Dismutase ซึ่งเอสโอดีของหอยตลับน้ำลึกนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือลดปริมาณลงตลอดช่วงชีวิตหรืออายุขัยของมัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งและเป็นเหตุผลว่าทำไมหอยตลับชนิดนี้ถึงได้เป็นสปีชีส์ที่มีอายุยืนยาวที่สุด
ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจึงพยายามค้นหาวิธีที่จะเพิ่ม "เอสโอดี" ในร่างกายมนุษย์ เพื่อทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น แข็งแรงขึ้น และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะทราบดีว่าเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์และอวัยวะภายในร่างกายก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงจนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้ายแรงชนิดต่างๆมากมายและเสียชีวิตในท้ายที่สุด
นายแพทย์สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย เผยว่า การค้นพบเอ็นไซม์ เอสโอดี (SOD) หรือ Superoxide Dismutase คือการปฏิวัติโฉมหน้าของการดูแลสุขภาพในศตวรรษที่ 21 ความจริงเอ็นไซม์นี้มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั้งพืชและสัตว์ ในมนุษย์ก็มีเอ็นไซม์ชนิดนี้อยู่ในร่างกายของเราตั้งแต่แรกเกิด แต่จะมีปริมาณลดน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเรามีอายุ 25 ปีขึ้นไปและจะน้อยลงต่อเนื่องจนกระทั่งสิ้นอายุขัย
จุดนี้เองเมื่อเอ็นไซม์ เอสโอดี ลดลง ทำให้ประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระลดลง ส่งผลทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมลง อวัยวะภายในเสื่อมประสิทธิภาพเกิดโรคเสื่อมของร่างกาย (Degenerative disease) ขึ้น เช่นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต เป็นต้น รวมถึงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง ทำให้เกิดโรคร้ายแรงที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยมากที่สุด นั่นก็คือ โรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังส่งผลถึงภายนอกเช่นผิวหนัง เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ แลดูสูงกว่าวัย
นพ.สิทธวีร์ อธิบายเพิ่มเติมว่า อนุมูลอิสระมีหลากหลายชนิด บางชนิดทำลายในระดับเซลล์ บางชนิดทำลายลึกถึงระดับ DNA ภายในเซลล์ จนเกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์เป็นเนื้อร้ายและเซลล์มะเร็ง โดยอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมลงมาจากหลายสาเหตุ ทั้งมลพิษต่างๆรอบตัวเรา สารปนเปื้อนในอาหารที่บริโภค รวมถึงความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
เราทราบกันดีว่า สารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อการชะลอความเสื่อมของร่างกายได้แก่ วิตามิน C วิตามิน E และที่มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับปานกลางเช่น CoQ10 แต่ที่มีประสิทธิภาพขั้นสูงสุดคือ เอ็นไซม์ เอสโอดี (SOD) โดยหลักการทำงานของเอนไซม์นี้ จัดอยู่ในกลุ่มของ Primary Antioxidant ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ลึกถึงระดับ DNA ภายในเซลล์ นับว่าเป็นการย้อนวัยเซลล์ในร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรงและเป็นมิติใหม่ในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและมีอายุที่ยืนยาวอีกด้วย
แล้วเราจะมีวิธีการเพิ่มเอ็นไซม์ เอสโอดี ในร่างกายให้มากขึ้นได้อย่างไร นพ.สิทธวีร์ กล่าวว่า ณ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สามารถสกัดเอ็นไซม์นี้ได้จากผักและผลไม้จากธรรมชาติ ร่วมกับการใช้โปรไบโอติกส์ (แบคทีเรีย) บ่มร่วมกันเป็นเวลา 180 วัน (Biosymbiotic Culture Technology) จนได้เอ็นไซม์ เอสโอดี (SOD) สารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในปัจจุบันนี้
นพ.สิทธวีร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถึงแม้ไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไปมาก จนทำให้การดูแลรักษาสุขภาพให้มีความสมบูรณ์และสมดุลเป็นเรื่องยากมากขึ้น แต่เราต้องไม่ลืมว่า "ธรรมชาติ" กับ "มนุษย์" นั้นมีความสัมพันธ์ต่อกันตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการใช้อาหารเป็นยาจึงเป็นวิธีธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม อย่าลืมว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ... เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป