กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--กองประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ การยางแห่งประเทศไทย
วันนี้ (9 พฤษภาคม 2560) การยางแห่งประเทศไทย สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดกิจกรรมวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2560เพื่อร่วมบำรุงรักษาต้นไม้ภายในบริเวณการยางแห่งประเทศไทยสำนักงานใหญ่ โดยมี ดร. ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย นายประสิทธิ์ หมีดเส็น กรรมการการยางแห่งประเทศไทย พร้อมผู้บริหาร และพนักงาน กยท. ร่วมกิจกรรม
ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๓๒ ให้วันวิสาขบูชาของทุกปีเป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ถือเป็นวันสำคัญของชาติอีกวันหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญของต้นไม้ ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่า มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ เป็นแหล่งวัตถุดิบของปัจจัยสี่ อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ปัจจุบันการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะป่าไม้ นอกจากจะถูกทำลายอย่างรวดเร็วเพราะภัยธรรมชาติแล้ว ยังเกิดจากภัยที่มาจากน้ำมือมนุษยชาติ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่าประเทศไทยยังประสบปัญหาการบุกรุกทำลายป่า ที่ต้องการหาประโยชน์จากการลอบตัดไม้นำไปขาย หรือตัดถางใช้พื้นที่เพื่อประกอบธุรกิจส่วนตัวเป็นจำนวนมาก นับเป็นเรื่องที่มีมาเนิ่นนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับสภาพสังคมที่มีการขยายตัวมากขึ้น ความต้องการด้านบริโภคย่อมขยายตัวตาม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่ามาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย การกระทำเหล่านี้ส่งผลกระทบก่อให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น สัตว์ป่า ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ ซึ่งการปลูกป่าแม้จะสามารถปลูกทดแทนได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ใช้งบประมาณ การดูแลทำนุบำรุง รวมถึงต้องปลูกอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นคืนป่าได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ถ้าไม่มีการควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่ป่าในสังคมนั้นๆ ก็จะเสื่อมโทรมและหมดไปในที่สุด
ดร.ธีธัช กล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ด้วยความร่วมมือกันทั้ง ภาครัฐ เอกชน และประชาชน รวมถึงประเทศไทยก็ได้กำหนดให้มี "วันต้นไม้ประจำปีของชาติ" ขึ้น เพื่อสร้างจิตสำนึกและกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความรักความหวงแหนทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ดังนั้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจ การยางแห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงต้องแสดงพลังความสามัคคีร่วมมือกันปลูกต้นไม้และเป็นแบบอย่างในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้กับประเทศ โดยเริ่มจากสถานที่ใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงาน ตลอดจนถ่ายทอดจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ให้แก่บุคคลรอบข้าง อันจะเป็นหนทางนำไปสู่การอนุรักษ์และรู้จักการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า เพื่อเก็บรักษาไว้ให้ลูกหลานต่อไปในอนาคต