กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--ธามดี พลัส
บมจ.เถ้าแก่น้อยฯ เปิดโรงงานใหม่โรจนะเริ่มทดสอบระบบ ก่อนเดินเครื่องเต็มกำลังรองรับคำสั่งซื้อต่างประเทศ พร้อมส่งสินค้าใหม่กลุ่ม Family Pack และแผนการตลาดดันยอดขายเชิงรุกต่อแบบ 360 องศา ย้ำเป้าหมายปีนี้เติบโตเฉลี่ย 15%ด้านงบไตรมาส 1 ปี 2560 มีรายได้จากการขาย 1,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิปิดที่ 171 ล้านบาท ชี้ตลาดต่างประเทศยังสร้างผลงานดีต่อเนื่อง ส่วนตลาดในประเทศปิดใกล้เคียงปีก่อน
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) "TKN" ผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่ายแปรรูปในรูปแบบต่างๆ อาทิ สาหร่ายทอดกรอบ สาหร่ายย่าง สาหร่ายเทมปุระ และสาหร่ายอบ ภายใต้ตราสินค้า "เถ้าแก่น้อย" เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้เปิดเริ่มทดสอบระบบสำหรับโรงงานใหม่ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะในช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยระยะแรกมีกำลังการผลิตประมาณ 1,500-2,000 ตัน/ปี ก่อนที่จะเดินเครื่องเต็มกำลังการการผลิต 6,000 ตัน/ปี หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากโรงงานนพวงศ์ (ปัจจุบัน) ซึ่งมีกำลังการผลิต 6,000 ตัน/ปี เพื่อรองรับการขยายตลาดต่างประเทศในอนาคต
โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นการทำการตลาดเพื่อขยายช่องทางการขาย และเพิ่มยอดขายแบบเชิงรุก 360 องศาผ่านช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศตามแผนที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวพรีเซนเตอร์บอยแบนด์จากประเทศเกาหลี GOT7 รวมถึงการร่วมทำโปรเจ็คหนังสั้น "Share" กับค่ายนาดาวบางกอก ตลอดจนการจัดจำหน่ายสินค้าในรูปแบบ แฟมิลี่ แพ็ก (Family Pack) ด้วยจำนวนสินค้าสุดคุ้มที่สามารถแบ่งปันกันได้
โดยการดำเนินงานทางการตลาดที่กล่าวมาบริษัทเชื่อว่าจะผลักดันให้แบรนด์สินค้ามีความแข็งแกร่งมากขึ้น ตลอดจนสามารถขยายฐานลูกค้าได้ทุกเพศ ทุกวัย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนับสนุนให้ผลประกอบการบรรลุตามเป้าหมายที่บริษัทได้วางไว้ ซึ่งเป้าหมายการดำเนินงานโดยรวมของปี 2560 บริษัทยังคงตั้งเป้าไว้ที่การเติบโตเฉลี่ย 15%
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2560 บริษัทมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% (YOY) จากช่วงเดียวกันปี2559 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 171 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% (YOY) จากช่วงเดียวกันปี 2559 ทั้งนี้ตลาดต่างประเทศยังคงเป็นตลาดหลักในการเพิ่มรายได้และกำไร โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีความต้องการบริโภคอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับในประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนามและสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนส่งออกประมาณ 59% จาก 40 ประเทศทั่วโลก ส่วนตลาดในประเทศมีการขายอยู่ที่ 41%