กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์
แอ็กซิส คอมมูนิเคชั่นส์ ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมระบบวิดีโอแบบเครือข่ายครบวงจร พร้อมเดินหน้านำเสนอโซลูชั่นล้ำยุคสำหรับธุรกิจค้าปลีกโดยบริษัทในเครืออย่าง ค็อกนิเมติกส์ (Cognimatics) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน เปิดโอกาสให้ร้านค้าสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าและประสิทธิภาพของการนำเสนอสินค้าต่างๆ ในร้านได้อย่างไม่ต่างกับร้านค้าในโลกออนไลน์ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความปลอดภัยของทรัพย์สินภายในร้านค้า ปิดช่องโหว่ที่ทำให้ธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกต้องสูญเสียรายได้ไป
หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจค้าปลีกที่กำลังเผชิญ แต่ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงเท่าการเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนแบบอื่นๆ คือ "Shrinkage" หรือ ความสูญเสียทางธุรกิจอันเนื่องมาจากการยักยอก ขโมยของในร้านโดยลูกค้า พนักงาน หรือแม้แต่ความผิดพลาดอย่างจงใจระหว่างการจัดส่งสินค้า ในแต่ละปีอัตราส่วนมูลค่าความสูญเสียจากเหตุเหล่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 1.23% ของยอดขายรวมในธุรกิจค้าปลีก หรือหากคิดเป็นตัวเงินจากยอดขายปลีกทั่วโลกที่ 35 ล้านล้านบาท (996.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ก็จะมีมูลค่ามากถึง 4.4 ล้านล้านบาท (123.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
ผลสำรวจจาก 24 ประเทศทั่วโลก[1] พบว่าความเสียหายดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลักขโมยสินค้าโดยพนักงาน (39%) และลูกค้า (38%) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้น ณ จุดขายมากกว่าในคลังสินค้า ตามมาด้วยความบกพร่องด้านการบริหารสต็อกสินค้า (16%)และการทุจริตของซัพพลายเออร์ (7%) ด้วยเหตุนี้เอง ร้านค้าปลีกจึงได้หันมาลงทุนในด้านเทคโนโลยี (34%) และการพัฒนาบุคลากร (22%)[2] เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหานี้
ในยุคดิจิทัลเช่นนี้ ตัวช่วยอัจฉริยะอย่างกล้องวงจรปิดที่มีระบบประมวลผล วิเคราะห์ และเฝ้าระวังหรือแจ้งเตือนความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะในกรณีของซูเปอร์มาร์เกตที่มีสาขาจำนวนมาก หรือห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะดูแลอย่างทั่วถึงด้วยสายตามนุษย์และกล้องวงจรปิดทั่วไปได้
นายแมกนัส เซเดอร์เฟลด์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใต้ แอ็กซิส คอมมูนิเคชั่นส์ กล่าวว่า "ถึงแม้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะเข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดค้าปลีกไปบ้างแล้ว แต่เราพบว่าผู้บริโภคจำนวนมากทั่วโลกยังคงนิยมเดินทางมาที่หน้าร้านเพื่อสัมผัสสินค้าระดับพรีเมียมที่มีมูลค่าสูงด้วยตนเอง เนื่องจากสินค้าขนาดเล็กที่มีมูลค่าสูงเป็นกลุ่มสินค้าที่ถูกขโมยมากที่สุด ร้านค้าจึงต้องมีมาตรการที่รัดกุมเพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น แอ็กซิสจึงพร้อมรุกตลาดอุตสาหกรรมค้าปลีกในไทย เพื่อเข้าไปช่วยลดความสูญเสียทางธุรกิจจากปัญหาShrinkage ที่มีสัดส่วนราว 1.64% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกในภาพรวม"
นายแมกนัส กล่าวอีกว่า "แอ็กซิสจะให้บริการข้อมูลธุรกิจอัจฉริยะแก่ร้านค้าปลีกที่มีหน้าร้านจริง ได้อย่างไม่ต่างกับร้านค้าในโลกออนไลน์ โซลูชั่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะจะสามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจที่สำคัญต่อความอยู่รอดสองข้อหลัก นั่นคือ การเพิ่มรายได้ และการป้องกันความสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นการขโมย ยักยอกสินค้า หรือการเพิ่มประสิทธิภาพร้านค้าและเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าในร้าน โซลูชั่นแรกคือ Axis Loss Prevention Solution บนเครือข่ายกล้องของแอ็กซิส ที่ผสานรวมเอาระบบควบคุมการเข้าออก ระบบวิดีโอควบคุมประตู เข้ากับซอฟท์แวร์วิเคราะห์เพื่อจับการเคลื่อนไหวอย่างเรียลไทม์ และสามารถกำหนดการตอบโต้ได้อย่างทันที อาทิ การออกจากร้าน การแอบเข้าร้านอย่างไม่ถูกต้อง หรือกลไกในการสุ่มเลือกลูกค้าเพื่อจับตาดู โซลูชั่น Axis Store Optimization Solution ระบบที่รวมเอาข้อมูลจากเครือข่ายของกล้อง ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องเสียงเข้ากับข้อมูลธุรกิจอัจฉริยะ และซอฟท์แวร์วิเคราะห์ เพื่อให้ข้อมูลที่แม่นยำในการนับจำนวนคน การตรวจจับตามอายุ เพศ การประเมินอัตราการใช้พื้นที่ และการบริหารการเข้าคิว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดส่งในรูปของรายงานที่สามารถออกแบบได้ตามความต้องการของลูกค้า และจัดเก็บอยู่บนคลาวด์ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์มือถือและเดสก์ทอป โซลูชั่นนี้ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสการขายด้วยการบริหารจัดการพนักงานแบบไดนามิก การแสดงข้อมูลการขาย และจัดการประกาศประชาสัมพันธ์ภายในร้าน เพิ่มการทำกำไรให้กับธุรกิจไปด้วยพร้อมๆ กัน"
นายแมกนัส กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า "เราคาดว่าจะติดตั้งโซลูชั่นเพื่อธุรกิจค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตหลายร้อยแห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อรักษาสถานะผู้นำระดับโลกในตลาดโซลูชั่นวิดีโอเครือข่ายอัจฉริยะ และสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยในปี2559 ที่ผ่านมา แอ็กซิส มียอดขายทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 30,770 ล้านบาท (897 ล้านเหรียญสหรัฐ) คิดเป็นยอดขายในเอเชียประมาณ 3,800 ล้านบาท (110 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่ในไตรมาสแรกของปี 2560 บริษัทฯมีการเติบโต 29% ในตลาดทั่วโลก และเติบโตสูงถึง 35% ในตลาดเอเชีย แสดงถึงแนวโน้มการเติบโตที่สดใสในปีนี้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมค้าปลีก"