กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--ยู ซิตี้
บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ได้เซ็นต์สัญญาเข้าซื้ออาคารสำนักงานให้เช่าเลขที่ 6-14 บนถนน Underwood กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มูลค่าการลงทุนประมาณ 7.3 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 328 ล้าน คาดว่าจะจบดีลในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้เป็นการขยายพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ที่จะก่อให้เกิดรายได้ประจำ และขยายการลงทุนในกรุงลอนดอน หลังจากที่ได้เข้าซื้ออาคาร สำนักงานให้เช่า 33 Gracechurch ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 74.3 ล้านปอนด์หรือประมาณ 3,435.6 ล้านบาท
นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า "การเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มในลอนดอนในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำการลงทุนในเชิงกลยุทธ์ที่จะขยายพอร์ตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ประจำ (Recurring Revenue) ของบริษัทฯ ที่จะเป็นธุรกิจที่จะสร้างรายได้ที่มั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง (Diversification) ในภูมิภาคต่างๆ "
สำหรับอาคารบนถนน Underwood มีพื้นที่ปล่อยเช่าสุทธิประมาณ 2,700 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในย่าน Tech City ของกรุงลอนดอน ซึ่งพื้นที่ตั้งดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นย่านที่รวมตัวกันของบริษัท ด้านเทคโนโลยี มีเดียและสื่อสารโทรคมนาคม ตลอดจนมีเส้นทางรถใต้ดินสายต่างๆผ่าน ทำให้มีความต้องการพื้นที่สำนักงานและมีอัตราค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ในระหว่างการปิดดีลซื้อเชนธุรกิจโรงแรมในแบรนด์ "เวียนนาเฮ้าส์" (Vienna House) ในยุโรป ประกอบด้วย โรงแรมทั้งที่เป็นทรัพย์สินแบบเจ้าของกรรมสิทธิ์ (Freehold) แบบเช่าซื้อ (Financial lease) แบบเช่าบริหาร (Operating lease) และสัญญาการบริหารโรงแรมให้กับโรงแรมอื่นๆ ในเมืองต่างๆ ในประเทศเยอรมันนี สาธารณรัฐเชค โปแลนด์ โรมาเนีย ออสเตรีย เบลารุส สาธารณรัฐเชค ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย และสโลวาเกีย คิดเป็นจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 6,700 ห้อง และธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมภายใต้แบรนด์ "เวียนนาเฮ้าส์" (Vienna House) ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปการเข้าซื้อกิจการได้ภายในเดือนกรกฎาคม นี้
ในอนาคต บริษัทฯยังมีแผนขยายธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการที่จะก่อสร้างอาคารสำนักงานอีก 2 แห่งบนที่ดินของบริษัทย่อยของบริษัทฯ คือ ที่ดินบริเวณพญาไท และหมอชิต คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2560 และ 2561 ตามลำดับ ซึ่งจะมีมูลค่าการลงทุนรวมอีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท