กรุงเทพฯ--12 พ.ค.--มาลีกรุ๊ป
นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือMALEE เปิดเผยผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1/2560 ว่า "ในไตรมาส 1/2560 ยอดส่งออกยังคงเติบโตโดดเด่น 22% YoY โดยเฉพาะจากยอดขายต่างประเทศของธุรกิจ Brand ที่เติบโตประมาณ 30% YoY ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการวางแผนกลยุทธ์สำหรับแต่ละประเทศที่เป็นตลาดหลักของบริษัทฯ ได้อย่างเหมาะสม"
"ในไตรมาส 1/2560 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมียอดขายรวม 1,515 ล้านบาท ปรับตัวลงเล็กน้อย 1% YoYจากการลดลงของยอดขายในประเทศของธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing Business: CMG) และยอดขายในประเทศของธุรกิจตราสินค้าของบริษัทฯ (Branded Business: Brand) โดยเฉพาะยอดขายกลุ่มผลไม้กระป๋องในประเทศ"
"อย่างไรก็ตาม ยอดขายต่างประเทศยังคงเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจ Brand และ CMG ทั้งนี้ ถึงแม้ยอดขายโดยรวมในไตรมาส 1/2560 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่กำไรของกลุ่มบริษัทยังคงเติบโตได้ 8% YoY โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 118 ล้านบาท จากการบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง"
"ในไตรมาส 1/2560 ธุรกิจการร่วมค้าของบริษัทฯ ในประเทศฟิลิปปินส์ คือ Monde Malee Beverage Corporation (MMBC) ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนยอดขายต่างประเทศ ทั้งนี้ MMBC ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่รายการที่ 2 คือ Jelly Drink ภายใต้แบรนด์ "Jelly Vit" ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยมีกระแสตอบรับผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่ในระดับดี"
"บริษัทฯ ยังมีความมั่นใจว่ายอดขายจะสามารถเติบโตได้ร้อยละ 10-15ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปี 2560ซึ่งการเติบโตจะมาทั้งจากธุรกิจ Brand และธุรกิจ CMG ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยยอดขายต่างประเทศมีแนวโน้มการเติบโตสูงกว่าการเติบโตภายในประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Distributor หรือ Partner ในแต่ละประเทศ ในการวางแผนร่วมกัน เพื่อเลือกสรรผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างเหมาะสมสำหรับแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นตลาดหลักของบริษัทฯ เช่น กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Countries) ในอาเซียน รวมถึงประเทศจีน เป็นต้น"
"บริษัทฯ อยู่ระหว่างการปรับปรุงโรงงาน และเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2559 ต่อเนื่องมาปี 2560 และจะแล้วเสร็จในปี 2561 โดยจะรวมถึงการลงทุนในเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ เพื่อทดแทนเครื่องจักรสายการผลิตเดิม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 4/2560ทั้งนี้ เครื่องจักรสายการผลิตใหม่นี้ ถือเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในปัจจุบัน และจะสามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายขึ้น มีประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และช่วยลดต้นทุนการผลิตสินค้า โดยศักยภาพการผลิตที่สูงขึ้นของเครื่องจักรสายการผลิตใหม่นี้ จะเพิ่มโอกาสในการหาลูกค้ารายใหม่ หรือสินค้าใหม่เพิ่มเติมจากปัจจุบัน รวมถึงจะช่วยเพิ่มรายได้ ผลกำไร และอัตราการทำกำไรของบริษัทฯ ตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น"