กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง
บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1ปี 2560 ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีกำไรสำหรับงวด จำนวน 1,358 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันของปี 2559 ขณะที่กำไรก่อนต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ (EBIT) เพิ่มขึ้น 6% เป็น 2,006 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น ด้านการขยายการเติบโตของบริษัทฯ ยังคงเป้าหมาย 7,500 เมกะวัตต์ และในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถดำเนินการได้ 7,014 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการ Collinsville Solar PV กำลังผลิต 42.5 เมกะวัตต์ ของบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (บริษัทฯ ถือหุ้น 80%) อีกทั้งยังส่งผลให้สัดส่วนกำลังผลิตจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเป็น 9.86% จากเป้าหมายปีนี้ที่กำหนดไว้ 10% ของกำลังผลิตรวมทั้งหมด
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ยังเป็นที่น่าพอใจและสามารถดำเนินงานตามแผนงานที่วางไว้ ในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นดำเนินการใน 4 ด้านที่สำคัญ คือ 1) ผลักดันการเติบโตของกำลังผลิตให้ถึง 7,500 เมกะวัตต์ตามเป้าหมาย 2) เพิ่มอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ โดยการบริหารจัดการให้โรงไฟฟ้าต่างๆ เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าให้ได้ครบตามสัญญา เพื่อรักษาความมั่นคงของรายได้ 3) วางแผนการเงินรองรับการลงทุนระยะยาว 4) กระจายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานและนอกภาคพลังงานให้เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างฐานธุรกิจของบริษัทฯให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
"การผลักดันการเติบโตของเมกะวัตต์ยังคงเป็นไปตามแผน โดยมีการลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอีก 1 โครงการ ขณะที่อีก 2 โครงการ คือ รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Riau อินโดนีเซีย อยู่ในขั้นสุดท้ายของกระบวนการลงทุน ซึ่งหากกระบวนการนี้เสร็จสมบูรณ์ บริษัทฯ จะมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นจากทั้งสองโครงการอีกประมาณ 314.75 เมกะวัตต์ เทียบเท่า ส่งผลให้กำลังผลิตที่ลงทุนแล้ว เพิ่มขึ้นเป็น 7,300 เมกะวัตต์ เทียบเท่า" นายกิจจา กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเร่งรัดและติดตามโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 5 แห่ง กำลังผลิตตามการถือหุ้น รวม 551.5 เมกะวัตต์ ให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ สำหรับโครงการที่มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2561 มี 2 โครงการ คือ 1) โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ Collinsville ในออสเตรเลีย กำลังผลิต 42.5 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 80%) ได้เริ่มก่อสร้างแล้วหลังประสบความสำเร็จจัดหาเงินกู้มูลค่า 57 ล้านเหรียญออสเตรเลีย กับ Clean Energy Finance Corporation การก่อสร้างใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี และมีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤษภาคม 2661 2) โครงการพลังงานลม Mount Emerald ในออสเตรเลีย กำลังผลิต 180 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 80%) มีการเตรียมพื้นที่เพื่อติดตั้งกังหันลม มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ เดือนกันยายน 2561
สำหรับ โครงการพลังงานน้ำเซเปียน เซน้ำน้อย ใน สปป.ลาว กำลังผลิต 410 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 25%) ซึ่งการก่อสร้างคืบหน้าแล้ว 75% มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ขณะที่ โครงการเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น จังหวัดราชบุรี กำลังผลิต 100 เมกะวัตต์ และผลิตไอน้ำ 15 ตันต่อชั่วโมง (ถือหุ้น 35%) ได้เริ่มการก่อสร้างหลังลงนามสัญญาจ้างงานออกแบบวิศวกรรมจัดหาและก่อสร้าง มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ เดือนมิถุนายน ปี 2562
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟังเชงกัง ระยะที่ 2 ในสาธารณรัฐประชาชนจีน กำลังผลิต 2,360 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 10%) การก่อสร้างก้าวหน้าตามแผนงานและมีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในปี 2564
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 บริษัทฯ มีรายได้จำนวน 10,590 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้ค่าขายไฟจากโรงไฟฟ้าราชบุรี, ไตรเอนเนอจี้ และบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 8,785 ล้านบาท คิดเป็น 83% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังมีรายได้จากส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนจำนวน 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% ส่วนต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวม มีจำนวน 8,848 ล้านบาท ลดลง 26%
ฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 96,749 ล้านบาท หนี้สินจำนวน 33,166 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 63,583 ล้านบาท มีเงินสดและเงินลงทุน รวมจำนวน 16,092 ล้านบาท และกำไรสะสมจำนวน 50,184 ล้านบาท