กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--IR network
บมจ. กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ศักยภาพเต็มเปี่ยม โชว์ผลงานไตรมาส 1/2560 กำไรสุทธิพุ่งเป็น 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 100% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 93 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 952 ล้านบาท จากงวดเดียวกันกับปีก่อนอยู่ที่ 854 ล้านบาท "โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์" ระบุนับจากนี้อนาคตกลุ่ม GUNKUL จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD ไปแล้ว และเตรียมประมูลเพิ่มอีกเพียบ แถมล่าสุดเป็น 1 ใน 21 บริษัทที่ผ่านคุณสมบัติโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตรขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกฯ ทำให้มั่นใจรายได้โตตามเป้า
นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL) เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2560 สิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2560 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยว่า มีผลกำไรสุทธิสำหรับงวด จำนวน186 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันกับปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิ 93 ล้านบาท โดยมีกำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว คิดเป็นเพิ่มขึ้น 100%
สำหรับสาเหตุที่ผลประกอบการไตรมาส 1/2560 ของกลุ่มบริษัท GUNKUL เติบโตขึ้นอย่างมาก เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวมสำหรับงวด 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 เท่ากับ 952 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 854 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 11.50% เนื่องจากมีรายได้จากการขายไฟฟ้า 396 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันกับปีก่อนอยู่ที่ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 196 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 98.50.% เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นใน สิ้นเดือนธันวาคมของปีก่อนรวมจำนวนกว่า 170 เมกกะวัตต์ รวมถึงบริษัทฯ มีการรับรู้รายได้ค่าก่อสร้าง ในงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 จากการก่อสร้างงานสายส่งและสถานีย่อยไฟฟ้าที่มีการรับรู้รายได้ต่อเนื่องเข้าในงวดบัญชีดังกล่าวประมาณ 248 ล้านบาท โดยยังคงมี Backlog ที่ทยอยรับรู้รายได้อีก ราวประมาณ 1,200 ล้านบาท
นางสาวโศภชา กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ยังคงมีข่าวดีต่อเนื่องจากการที่ บริษัท กันกุล โซลาร์ พาวเวอร์ 5 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจให้ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นถือเป็น 1 ใน 21 บริษัทฯ ที่ได้รับการคัดเลือกจากทางองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกฯ ในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ซึ่งทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจะเปิดรับยื่นสมัครขอสัญญาจำหน่ายไฟฟ้า (PPA) ในราวปลายเดือนพฤษภาคมนี้
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือปีนี้ของกลุ่มบริษัทฯ น่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น จากการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากโครงการโรงไฟฟ้ากังหันลมและจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อีก 2 โครงการ อีกทั้งโครงการพลังงานลมจากบริษัท กรีโนเวชั่น เพาเวอร์ จำกัด กำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ เตรียมจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในสิ้นปีนี้ จึงทำให้บริษัทฯ มั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตตามเป้าที่ประมาณ 4,300 ล้านบาทได้
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนด้านพลังงานทดแทนโดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศ AEC เพื่อให้ได้เป้าหมายเมกะวัตต์สะสมไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปีนับจากนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ในมือแล้ว 489 เมกะวัตต์
"ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้ถือว่าออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะสามารถเติบโตทั้งรายได้และกำไรจากธุรกิจผลิตและจัดหาอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า รวมถึงงานรับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าการจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์และโรงไฟฟ้าพลังงานลม รวมถึงการให้บริการด้านบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ตลอดจนผลิตภัณฑ์ LED ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยบริษัทฯ ยังคงเข้าร่วมประมูลงานด้านต่าง ๆ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตลอดจนงานจากภาคเอกชนซึ่งมีการขยายงบประมาณลงทุนจากภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง" นางสาวโศภชากล่าว ในที่สุด