AIRA เตรียมทัพบริษัทลูก “A money” สินเชื่อส่วนบุคคล ปูทางเข้าตลาด พร้อมขยายธุรกิจด้านการเงินแบบครบวงจร

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 15, 2017 15:39 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์ บมจ.ไอร่า แคปปิตอล (AIRA) ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ก้าวสู่ปีที่ 11 การเป็นผู้นำในธุรกิจด้านการเงินครบวงจร ผู้บริหาร " นลินี งามเศรษฐมาศ " เผยเตรียมจัดทัพธุรกิจบริษัทในเครือปูทางเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 3 บริษัท และเล็งดึงพาร์ทเนอร์ต่างชาติร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่ๆต่อเนื่อง เชื่อต่างชาติสนใจลงทุนไทย จากแรงขับเคลื่อนของภาครัฐ และเอกชนควบคู่กันไป หนุนเศรษฐกิจเติบโตได้เร็ว นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ "AIRA" เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในโอกาสครบรอบ 10 ปีว่า ยังคงเน้นที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจด้านการเงินครบวงจร อีกทั้งจะมุ่งไปสู่การขยายและพัฒนาธุรกิจที่มีอยู่แล้วให้แข็งแกร่ง และมีศักยภาพเพิ่มขึ้นทำให้มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมทั้งสามารถนำทุกบริษัทที่มีอยู่ 12 บริษัท เข้าจดทะเบียนเป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์ได้ ปัจจุบัน บริษัทในเครือ คือบริษัท ไอร่า แอนด์ ไอฟุล จำกัด (มหาชน) ("AIRA&AIFUL) ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้ชื่อ "A Money" ได้มีการขยายสาขา และสาขาย่อยมากกว่า 100 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ มีการปล่อยสินเชื่อไปแล้วมากกว่า 2,500 ล้านบาท จากฐานลูกค้ามากกว่า 100,000 ราย จึงตั้งเป้าขยายลูกค้าเพิ่มเป็น 300,000 ราย ภายในสิ้นปี 2560 ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานมีความโดดเด่นมากขึ้นตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป บริษัท จึงมีนโยบายที่จะนำบริษัทนี้เข้าตลาดในปี 2562 นอกเหนือจากธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแล้ว ยังมีบริษัทที่มีความพร้อมอีก 1 แห่ง คือ บริษัท ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ("AIRA Property") ประกอบธุรกิจการลงทุนในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ (Holding Company) ซึ่งบริษัทแรกที่เข้าลงทุน คือ บริษัท แอสไพเรชั่น วัน จำกัด ดำเนินธุรกิจการก่อสร้างอาคารสูงสำหรับสำนักงานให้เช่า ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างอาคารของโครงการบริเวณสี่แยกราชเทวี ซึ่งจะมีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม (MRT) อยู่ด้านหน้าของอาคาร และสถานีรถไฟฟ้า (BTS) อยู่ถัดไปในบริเวณใกล้เคียง ทั้งนี้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท และในขณะนี้บริษัท ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ได้เตรียมพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มอีก 2 โครงการแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้สามารถนำสินทรัพย์ทั้งหมดเข้าสู่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts) หรือ REIT และนำทรัสต์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป โดยเน้นการทำโครงการในทำเลใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครเป็นหลัก อีกบริษัทหนึ่งในกลุ่มที่อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม คือ บริษัท ไอร่า ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ("AIRA Leasing") ประกอบธุรกิจให้บริการเช่าซื้อทุกประเภท ได้แก่ สัญญาเช่าการเงิน สัญญาเช่าซื้อ และสัญญาเช่าดำเนินงาน (Financial lease, Hire purchase และ Operating Lease) โดยตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกรูปแบบ ทั้งการอุปโภคบริโภค รวมถึงภาคอุตสาหกรรมและการผลิต โดยวางแผนนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในโอกาสต่อไป เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนการเงินของบริษัทให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นบริษัทฯเชื่อมั่นได้ว่า AIRA จะสามารถเติบโตอย่างมั่นคง จากการที่บริษัทดำเนินกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกในปีที่ผ่านมา รวมถึงการขยายงานอย่างมีประสิทธิภาพของบริษัทในเครือ อย่าง บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ โดยประกอบธุรกิจให้บริการเงินหมุนเวียนระยะสั้นประเภทแฟคตอริ่งแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งทั้งสองบริษัทมีผลประกอบการที่ดี และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอมาตลอดต่อเนื่องทุกปี นอกจากบริษัทที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว AIRA ยังมีบริษัทในเครือที่รองรับ ความต้องการของกลุ่มลูกค้าในด้านการเงินอื่นๆ ได้แก่ บริษัท ไอร่า แอดไวเซอรี่ จำกัด ให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจแบบครบวงจร บริษัท AIRA International Advisory (Singapore) Pte. Ltd. ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน การควบรวมและการซื้อขายกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ บริษัท ไอร่า แอสเซท เมเนจเมนท์ จำกัด ให้บริการด้านกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคลแก่ลูกค้า อีกทั้ง บริษัท ทราเวลเล็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รวมถึง บริษัท ไอร่า เวนเจอร์ แคปปิตอล จำกัด สำหรับการร่วมลงทุนในธุรกิจที่มีนวัตกรรม "AIRA เชื่อว่าแนวโน้มทางเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยยังคงมีการเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้หลายฝ่ายก็คาดการณ์ว่าตัวเลข GDP จะมีการเติบโตได้อยู่ในระดับ 3-3.5 % จากการขับเคลื่อนที่เกิดจากนโยบายภาครัฐร่วมกับการลงทุนของภาคเอกชนซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ต่างชาติ ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศในแถบเอเชียด้วยกัน" นางนลินี กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ