อเมริกา สวีทฮาร์ทส์…คู่รักอลวน มายาอลเวง 19 ตุลาคม 2544

ข่าวทั่วไป Friday September 21, 2001 09:06 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ก.ย.--โคลัมเบีย ฟิคเจอร์ส
ภาพยนตร์ตลกแนวโรแมนติคคลาสสิคเรื่องล่าสุดของ Revolution Studios ในชื่อ America's Sweethearts นำทีมนักแสดงระดับแนวหน้ามาประชันบทบาทกันคับคั่ง เป็นผลงานโรแมนติกคอเมดี้เรื่องเยี่ยม ซึ่งเผยให้เห็นฉากหลังของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดร่วมสมัย
ทีมนักแสดงชั้นยอดนี้นำโดย ดาราออสการ์นักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมคนล่าสุด จูเลีย โรเบิร์ตส์ (Julia Roberts) พร้อมด้วยบิลลี่ คริสตัล (Billy Crystal), แคเธอรีน ซีต้า-โจนส์ (Catherine Zeta-Jones), จอห์น คูแซ็ค (John Cusack), แฮงค์ อาซาเรีย (Hank Azaria), สแตนลี่ย์ ทุคชี่ (Stanley Tucci), คริสโตเฟอร์ วอลเก้น (Christopher Walken), อลัน อาร์กิ้น (Alan Arkin) และเซธ กรีน (Seth Green) โดยมีโจ ร็อธ (Joe Roth) ผู้ก่อตั้ง Revolution Studios ก้าวไปอยู่ตำแหน่งหลังกล้องเป็นผู้กำกับภาพยนตร์
ใน America's Sweethearts กิกิ แฮร์ริสัน - Kiki Harrison (จูเลีย โรเบิร์ตส์) เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของดาราใหญ่ผู้เย่อหยิ่ง และหลงตัวเองนาม เกวน แฮร์ริสัน - Gwen Harrison (แคเธอรีน ซีต้า-โจนส์) และเธอยังเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเกวนอีกด้วย การใช้ชีวิตร่วมกับน้องสาวคนดังไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสำหรับหญิงสาวผู้งุ่มง่าม และขี้อายอย่างกิกิ แต่อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะยุ่งยากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเธอตกลงใจจะช่วยให้เกวน กับเอ๊ดดี้ โธมัส - Eddie Thomas (จอห์น คูแซ็ค) สามีนักแสดงผู้ห่างเหินกันไป กลับมาคืนดีกันอีกครั้ง เพื่อปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมทผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาทั้งสอง โดยมีลี ฟิลลิปส์ - Lee Phillips (บิลลี่ คริสตัล) ผู้ประสานงานสื่อมวลชนอาวุโส ผู้ซึ่งจวนเจียนจะถูกรุ่นน้องก้าวเข้ามาแทนที่ ถูกวางตัวเป็นจอมวางแผนสำหรับเหตุการณ์อันเหนือจะคาดเดานี้ โดยมีกิกิเป็นอาวุธลับตัวสำคัญ เพื่อให้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์นี้ผ่านพ้นไปแต่โดยดีตามความหมายมั่นตั้งใจของเขา
โชคร้ายเสียเหลือเกินที่ทุกสิ่งเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่มีความรักใดๆ หลงเหลืออีกแล้วระหว่าง "ดาราคู่ขวัญ" หลังจากร่วมเล่นหนังที่ประสบความสำเร็จติดๆ กันมาเก้าเรื่อง ซ้ำร้ายในระยะเวลา 18 เดือนที่เหินห่างกันไปนั้น เกวนก็ไปพบรักใหม่กับ เฮ็คเตอร์ - Hector (แฮงค์ อาซาเรีย) เพื่อนนักแสดงชาวสเปน
แรกสุดนั้นดูเหมือนว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของลีกับกิกิคือการรักษาสัมพันธภาพระหว่างเกวนกับเอ๊ดดี้ และถนอมภาพลักษณ์อันสวยหรูของพวกเขาที่มีต่อประชาชนไม่ให้เปลี่ยนแปลง แต่ในเวลาต่อมาไม่นาน กิกิก็ได้พบว่ามิตรภาพอันยาวนานของเธอกับเอ๊ดดี้ บัดนี้ได้ผันแปรไปไกลกว่าเดิมจนกลายเป็นความรักไปเสียแล้ว
"มันเหมือนกับเทพนิยาย" ผู้กำกับโจ ร็อธ กล่าวถึงผลงานของเขา "คล้ายๆ กับเรื่องซินเดอเรลล่า และคนดูสามารถมีประสบการณ์ร่วมกับกิกิ ซึ่งเป็นคนเดินดินธรรมดาๆ ที่หลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่น่าหลงใหล และบ้อๆ บอๆ ของฮอลลีวู้ด
"แต่เรื่องราวทำนองนี้มันมีลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่ง ซึ่งทุกคนสามารถเข้าใจกันได้" เขากล่าวต่อ "ทุกคนคงเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ครอบครัว หรือเพื่อนๆ ไม่ได้ให้ความสนใจเราเลย"
ผู้อำนวยการสร้าง ซูซาน อาร์โนลด์ (Susan Arnold) และดอนน่า อาร์คอฟฟ์ ร็อธ (Donna Arkoff Roth) เห็นด้วยกับประเด็นนี้ "America's Sweethearts เป็นหนังตลกคลาสสิค ในแบบดั้งเดิม แต่ก็มีการหักมุมแบบสมัยใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย" อาร์โนลด์อธิบาย "มันคลาสสิค เพราะเรามีกลุ่มตัวละครหลากหลายที่มาร่วมสร้างสีสันในเหตุการณ์อย่างการแถลงข่าวของดารา แต่เราก็มีเรื่องโรมานซ์ในส่วนความสัมพันธ์ของกิกิกับเอ๊ดดี้ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเรื่อง"
America's Sweethearts กำกับภาพยนตร์โดยโจ ร็อธ อำนวยการสร้างโดยบิลลี่ คริสตัล, ซูซาน อาร์โนลด์ และดอนน่า อาร์คอฟฟ์ ร็อธ บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของบิลลี่ คริสตัล และปีเตอร์ โทแลน (Peter Tolan) โดยมีชาร์ลส์ นีเวิร์ธ (Charles Newirth) และปีเตอร์ โทแลนเป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร ทีมงานฝ่ายต่างๆ ประกอบด้วย ผู้กำกับภาพ เฟดอน ปาปาไมเคิล (Phedon Papamichael) ผู้ออกแบบงานสร้าง การ์เร็ธ สโตเวอร์ (Garreth Stover) ผู้ลำดับภาพ สตีเฟ่น เอ. ร็อตเตอร์ (Stephen A. Rotter) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอลเลน มิโรจนิค (Ellen Mirojnick) โดยมีเจฟฟรี่ย์ เคอร์แลนด์ (Jeffrey Kurland) เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับจูเลีย โรเบิร์ตส์โดยเฉพาะ ดนตรีประกอบภาพยนตร์เป็นฝีมือการประพันธ์ของเจมส์ นิวตัน ฮาเวิร์ด (James Newton Howard) และผู้ควบคุมดูแลงานด้านดนตรีคือ เคธี่ เนลสัน (Kathy Nelson)
เกี่ยวกับงานสร้าง
โจ ร็อธ อดีตผู้บริหาร Walt Disney Studios ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Revolution Studios ในเดือนมกราคม ปี 2000 ยังคงจำได้ดีถึงความรู้สึกแรกเมื่อได้อ่านบทภาพยนตร์ America's Sweethearts จากฝีมือการเขียนของบิลลี่ คริสตัล และปีเตอร์ โทแลน "ผมรู้สึกติดใจในลีลาและอารมณ์ขันของบทหนัง" เขาอธิบาย จากบทภาพยนตร์นี้เอง ร็อธมองเห็นภาพของหนังตลกที่จะพาคนดูย้อนยุคกลับไปยังลักษณะแบบ Screwball Comedy ในอดีต
"ผมชอบหนังยุค '30 และ '40 อย่างผลงานของจอห์น สเตอเจส (John Sturges) และแฟรงค์ คาปรา (Frank Capra) ซึ่งตัวละครทั้งหมดในเรื่องจะเล่นร่วมกัน" เขาเล่าต่อ "แต่คนดูไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูหนังแบบนี้ในช่วงหลัง เพราะเหตุผลทางธุรกิจในวงการหนัง
"America's Sweethearts ทำให้ผมนึกถึงหนังแบบที่ผมชอบ" เขาเล่าให้ฟัง "หนังตลกครบชุดแบบยุคก่อน"
ถึงแม้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ร็อธจะทำงานบริหารให้กับ 20th Century Fox และ Disney และก่อตั้ง Revolution Studios แต่สิ่งที่เขาผูกใจรักเสมอมาก็คืองานกำกับภาพยนตร์ แต่ร็อธไม่ได้จับงานนี้อีกเลยนับจาก Coupe de Ville ผลงานแนวชีวิต/ตลกในปี 1990
"ผมสามารถรู้สึกได้ว่ามีงานให้ผมกำกับอีกแล้ว" ร็อธกล่าว "หลายปีที่ผ่านมา ผมไม่คิดอยากกำกับหนังเรื่องไหน แต่จากโปรเจ็คสามชิ้นล่าสุดที่ผ่านมา มันทำให้ผมชักอยากกลับมากำกับหนังตะหงิดๆ" ภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องคือ High Fidelity, The Hurricane และ Remember the Titans มีผู้กำกับแตกต่างกันไป แต่ร็อธไม่ยอมปล่อยให้ America's Sweethearts ผ่านมือเขาไปได้
"เมื่อผมอ่านบทหนังเรื่องนี้จบ ผมคิดว่า 'แหม! มันสนุกดีจังเลย' ถ้าคุณอ่านบทหนังตลกแล้วคุณหัวเราะออกมาดังๆ นั่นแสดงว่าคนอื่นๆ ก็จะหัวเราะกับมันได้ด้วยเหมือนกัน" ร็อธบอก "หนังเรื่องนี้เด่นที่ตัวละคร
"เมื่อจูเลียบอกว่าเธออยากเล่นหนังเรื่องนี้" เขาเล่าต่อ "ผมคิดว่านั่นมันวิเศษมาก" ร็อธสนิทสนมคุ้นเคยกับโรเบิร์ตส์มาเกือบ 15 ปี "เธอเองก็ชอบหนังเรื่องนี้มาก เธอชอบแนวความคิดที่จะได้เล่นกับนักแสดงชุดใหญ่ ผมคิดว่าเธอยอดเยี่ยมมากในหนังเรื่องนี้"
ส่วนโรเบิร์ตส์นั้นบอกว่า "เรื่องที่ว่ากิกิกับเกวนเป็นพี่น้องกันคือส่วนที่ดึงดูดใจให้ฉันอยากรับบทนี้ กิกิเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองเกวน เธอไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใครเขา แต่ฉันไม่คิดว่าเธอเป็นคนเก็บกด ฉันคิดว่ามันเป็นรักแท้ที่เธอมีต่อน้องสาว และเธอรู้สึกว่าเธอจำเป็นจะต้องคอยดูแลเกวน เพราะฉะนั้น เธอจึงมีเสน่ห์ในแบบแม่บ้านแม่เรือนที่ดี"
เนื้อเรื่องทำนองซินเดอเรลล่าในหนัง America's Sweethearts ทำให้สองผู้อำนวยการสร้าง ซูซาน อาร์โนลด์ และดอนน่า อาร์คอฟฟ์ ร็อธ สนใจสร้างหนังเรื่องนี้ เธอทั้งสองชอบเรื่องที่มีตัวเอกแตกต่างจากหนังทั่วไป "ฉันว่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงที่ดูยุ่งเหยิง แต่แล้วก็ได้ค้นพบตัวตนจริงๆ ของเธอเองนั้นเป็นเรื่องที่เรียกร้องความสนใจจากเราได้ดี" ดอนน่า อาร์คอฟฟ์ ร็อธกล่าว "เรื่องราวทำนองเทพนิยายมีความเป็นสากล และสื่อสารกับคนทั่วไปได้ดี ซึ่งเรื่องนี้ก็คือเทพนิยายสำหรับกิกิ และเรื่องราวเกี่ยวกับโลกบันเทิงนี้ก็นับว่ามีเสน่ห์ และความสนุกสนานสำหรับคนทั่วไปที่จะติดตามชม"
กิกิมักจะมีงานล้นมือ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เกวน ขณะเดียวกันก็เป็นเพื่อนที่ดีของเอ๊ดดี้ แม้แต่ในขณะที่คนทั้งคู่อยู่ด้วยกัน และเมื่อ 'คู่ขวัญของอเมริกา' มีอันต้องเลิกลากันไป เธอจึงมีหน้าที่ต้องประสานรอยร้าวระหว่างนักแสดงทั้งสอง ซึ่งพร้อมที่จะห้ำหั่นกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อผลดีต่ออาชีพการงานของพวกเขา และในการนี้เอง เธอกลับพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตัวเธอโดยไม่รู้ตัว
"เราเปรียบกิกิเหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบาน" ดอนน่า ร็อธอธิบาย "มันเหมือนกับการยืนอยู่บนยอดเขา และเลือกว่าจะเดินต่อไปทางไหน เธอจำเป็นต้องตัดสินใจว่าเธอต้องการทำอะไรกับชีวิตของเธอ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับตัวเธอ"
แนวคิดในการทำหนัง America's Sweethearts เกิดจากอารมณ์ขันอันเหลือเฟือของบิลลี่ คริสตัล ผู้รับบทในหนังเป็นลี ฟิลลิปส์ ผู้ประสานงานสื่อมวลชนอาวุโสวัยใกล้เกษียณ ซึ่งกำลังจะถูกแทนที่โดยแดนนี่ แว็กซ์ - Danny Wax (เซธ กรีน) ผู้อ่อนเยาว์กว่ามาก ข้างฝ่ายผู้บริหารสตูดิโอจอมตื่นตูมอย่างเดฟ คิงแมน - Dave Kingman (สแตนลี่ย์ ทุคชี่) นั้นเชื่อว่าหนังเรื่องนี้คงมีอันต้องพังพาบเป็นแน่แท้ ถ้าหากประชาชนไม่เชื่อว่าดาราทั้งสองกลับมาคืนดีกันจริง ลีจึงมีส่วนร่วมอยู่ในแผนการนำ 'คู่ขวัญของอเมริกา' ให้กลับมาอยู่คู่กันอีกครั้ง ซึ่งผลของการจับคู่กันอย่างจอมปลอมนี้อาจมีส่วนทำให้หนังทำเงินถล่มทลายก็ได้ ใครจะไปรู้
หลังจากเคยร่วมงานเขียนบทหนัง Analyze This ด้วยกันจนประสบความสำเร็จมาแล้ว คริสตัลเรียกหาปีเตอร์ โทแลนอีกครั้งสำหรับงานนี้ "ผมบอกเขาว่าผมมีไอเดียจะทำหนังตลกเกี่ยวกับดาราคู่ขวัญชื่อดัง ซึ่งเล่นหนังด้วยกันมาหลายต่อหลายเรื่อง และประสบความสำเร็จด้วยดีมาโดยตลอด แต่ชีวิตจริงของพวกเขากลับไปกันไม่รอด และในหนังเรื่องล่าสุดที่ทั้งสองกลับมาเล่นคู่กัน เหตุการณ์ต่างๆ มันคล้ายกับตอนที่ลิซ เทย์เลอร์ (Liz Taylor) ทิ้งเอ๊ดดี้ ฟิชเชอร์ (Eddie Fisher) ในหนัง Cleopatra และหันไปควงริชาร์ด เบอร์ตัน (Richard Burton) ปัญหามันมีอยู่ว่า จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อดาราทั้งสองจะต้องโคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง"
จากประสบการณ์ส่วนตัวของคริสตัลในการประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์ และการทำงานด้านอื่นๆ ในวงการ เขาเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำให้คนทั้งคู่กลับมาคืนดีกัน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการโปรโมทหนังนั่นเอง
"มันเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับการสร้างเป็นหนัง" คริสตัลกล่าว "เป็นโครงเรื่องที่สมบูรณ์แบบสำหรับจะให้ตัวละครได้เผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา"
นอกจากนั้น การผูกเรื่องเช่นนี้ยังทำให้หนังมีโอกาสเล่นกับจังหวะเวลาได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้กำกับโจ ร็อธชื่นชอบเป็นพิเศษ "ผมชอบหนังที่มีการตั้งเวลา" เขาบอก "หนังเรื่องนี้มีการวางจังหวะของเวลาที่เหตุการณ์ต่างๆ จะดำเนินไป เหมือนหนังตลกคลาสสิค"
สำหรับแคเธอรีน ซีต้า-โจนส์ การสร้างชีวิตชีวาให้กับบทเกวน แฮร์ริสัน ดาราผู้เย่อหยิ่งจองหอง นับเป็นความยินดีอย่างยิ่ง "คนอย่างเกวนนั้นถือได้ว่าอาการหนักเอาการ!" ซีต้า-โจนส์พูดพลางหัวเราะ "เธอคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลของตัวเธอเอง ขอบคุณพระเจ้าที่กิกิยอมเป็นผู้ช่วยของเธอ เพราะถ้าใครมีพี่น้องที่มีพฤติกรรมแบบนี้ คงมีแต่อยากหนีไปให้พ้นๆ เท่านั้นเอง"
"สิ่งที่เยี่ยมมากสำหรับผมคือ ไม่ใช่แค่ว่าแคเธอรีนสามารถเล่นบทตลกได้เป็นอย่างดีเท่านั้น แต่เธอยังแสดงได้อย่างน่าหมั่นไส้อีกด้วย" โจ ร็อธตั้งข้อสังเกต "เธอยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าตัวละครที่เธอเล่นนั้นเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว และเอาแต่ใจตัวเองสุดๆ
"แคเธอรีนเป็นดาราหนังแบบยุคเก่า" ร็อธเล่าต่อ "แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็ดูเป็นคนทันสมัยที่มีความตั้งใจจริงและมีความสามารถในการเล่นได้ทุกบท"
จอห์น คูแซ็ครับบทเป็นเอ๊ดดี้ โธมัส ว่าที่อดีตสามีของเกวน "เอ๊ดดี้เป็นดาราที่ต้องการเป็นนักแสดงขายฝีมือจริงๆ" คูแซ็คอธิบายถึงตัวละครที่เขาแสดง "แต่แล้วเขาก็มาหยุดอยู่กับการเล่นหนังตลาด หรือไม่ก็หนังโรมานซ์หวานแหววคู่กับเกวน พวกเขาอยู่ในอุตสาหกรรมขายภาพลักษณ์ส่วนตัว แล้วพวกเขาก็มาเจอเรื่องอื้อฉาวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งคุณคงนึกออกว่ามันเป็นอย่างไร
"หนังเรื่องนี้จับเหตุการณ์ตอนที่พวกเขาทั้งสองจะต้องออกโปรโมทหนังเรื่องล่าสุดที่พวกเขาแสดงร่วมกัน ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็เอือมระอากันเต็มทนแล้ว"
เช่นเดียวกับเทรซี่ (Tracy) กับเฮ็พเบิร์น (Hepbern) ซึ่งร่วมแสดงหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงถึงเก้าเรื่อง แต่ในที่สุดดาราคู่ขวัญอย่างเกวนและเอ๊ดดี้ก็มีอันต้องแตกหักเลิกลากันไป เหมือนกับคู่ของลอเรล (Laurel) กับฮาร์ดี้ (Hardy) ปล่อยให้แฟนๆ ต้องเสียความรู้สึก ในขณะที่อาชีพก็เริ่มตกต่ำลง บัดนี้ เกวนประสบปัญหาในการกอบกู้ชื่อเสียงของเธอกลับคืนมา เมื่อปราศจากเอ๊ดดี้จนในที่สุดก็ตัดสินใจจะหย่าขาดจากเขา ข้างฝ่ายเอ๊ดดี้นั้นก็ได้เวลากลับคืนสู่วงการ หลังจากที่เข้ารับการบำบัดเป็นเวลาหลายเดือนกับ 'ผู้ชี้ทางสว่าง' (อลัน อาร์กิ้น) เพื่อรักษาบาดแผลจากเกวน ซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณชนว่าคบหาอยู่กับเอ็คเตอร์ (แฮงค์ อาซาเรีย) เพื่อนนักแสดงชาวสเปน การใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ร่วมกันของเอ๊ดดี้กับเกวนเพื่อโปรโมทหนังเรื่องล่าสุดของพวกเขาในฐานะที่เป็น 'คู่ขวัญของอเมริกา' ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองวัตถุประสงค์หลายๆ อย่างที่เกี่ยวข้อง แต่ยังทำให้หัวหน้าสตูดิโออย่างเดฟ คิงแมน แฮ็ปปี้สุดๆ
"ตามมุมมองของคิงแมน นี่คือการรักษาสตูดิโอของเขา รักษางานของเขา รักษาอาชีพของเขา" สแตนลี่ย์ ทุคชี่อธิบาย "ความสำเร็จของการสร้างข่าวนี้มีความสำคัญต่ออาชีพของเขาว่าจะอยู่หรือจะไป"
โจ ร็อธเชื่อมั่นในความสามารถอันล้นพ้นตัวของทุคชี่ ซึ่งมารับบทเป็นผู้บริหารสตูดิโอจอมวุ่นในหนังเรื่องนี้ "ผมปล่อยให้เขาแสดงอารมณ์สติแตกออกมาอย่างเต็มที่" ร็อธหัวเราะ "เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเราเป็นกันจริงๆ สแตนลี่ย์มักจะถามว่า 'เล่นแค่นี้พอมั้ย' แล้วผมก็จะบอกว่า 'แรงกว่านั้นอีกๆ!' "
ถึงแม้เขากำลังจะถูกแทนที่โดยเด็กใหม่ แต่บุคคลผู้มีประสบการณ์โชกโชนอย่างลี ฟิลลิปส์ก็มีทีเด็ดอยู่ในมือ "ลีเป็นผู้จัดแจงเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์หนังเรื่องต่างๆ ของเกวนกับเอ๊ดดี้" คริสตัลเล่าให้ฟัง "เขาคือคนๆ เดียวที่สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ และทุกคนก็รู้ดีในข้อนี้"
เพื่อนผู้อำนวยการสร้างของคริสตัลหัวเราะออกมาแล้วบอกว่า "ลีก็เหมือนกับตัวละครในหนังคลาสสิคอย่าง The Godfather 'เมื่อผมคิดจะออกเมื่อไร ก็มักจะมีคนดึงผมกลับเข้าไป!' "
หัวใจสำคัญของแผนการของลี ฟิลลิปส์ในการสร้างความสำเร็จให้กับหนังคือการแยกนักข่าวไปยังที่ห่างไกล ซึ่งเขาสามารถนำ "คู่ขวัญของอเมริกา" ให้กลับมาหากันอีกครั้ง โดยไม่มีความคับข้องใจจากโลกภายนอกมาเกี่ยวข้อง
ปัญหาหนึ่งก็คือ ผู้กำกับระดับตำนาน ฮาล ไวด์แมนน์ - Hal Weidmann รับบทโดยคริสโตเฟอร์ วอลเก้น ซึ่งถือว่าหนังเรื่องนี้คือ 'ผลงานชิ้นโบว์แดง' ของเขา แต่มันแย่ตรงที่ว่าการแถลงข่าวคือครั้งแรกที่คนในสตูดิโอจะมีโอกาสได้ดูหนัง เมื่อสุดสัปดาห์มาถึง ยังไม่มีหนังเรื่องไหนเดินทางมา ทำให้ทุกคนตกอยู่ในสภาพพิศวงงงงวย
"ฮาลเป็นคนที่น่าสนใจ…เป็นนักคิด" วอลเก้นบอก "เขาทำหนังในแนวทางที่แตกต่างออกไป"
"ฮาลเป็นคนที่ค่อนข้างยากที่จะเข้าถึงได้ ก็อย่างที่เขาบอกว่าตัวเขานั้นเป็น 'นักทำหนังผู้ยิ่งใหญ่' ดอนน่า อาร์คอฟฟ์ ร็อธ และซูซาน อาร์โนลด์ พูดอย่างเห็นเป็นเรื่องขำ "เขาเป็นผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่แบบสมัยก่อน ซึ่งถือความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ และไม่ค่อยรับฟังความเห็นของคนอื่นเลย"
จอห์น คูแซ็คคิดว่าเรื่องราวอย่าง America's Sweethearts นี้เป็นเรื่องยอดฮิตประจำฮอลลีวู้ดมาหลายยุคหลายสมัย "อาจไม่มีดาราคนไหนที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนอย่างตัวละครในเรื่อง แต่เมื่อตัวละครทั้ง 5-6 คนนี้มาอยู่รวมกัน นั่นก็ถือได้ว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากเลยทีเดียว" เขาหัวเราะเบาๆ
โจ ร็อธเองก็สนใจในเรื่องของศิลปะที่สะท้อนให้เห็นชีวิตจริงเช่นที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ ฉากสุดโปรดฉากหนึ่งของเขาคือตอนที่เกวนเดินผ่านแฟนหนังจำนวนมาก โดยมีกิกิเดินตามมาข้างหลัง "แฟนๆ ต่างเข้าไปรุมล้อมขอรายเซ็นแคเธอรีน" ร็อธว่า "โดยที่จูเลียซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าแฟนๆ กลับไม่ได้รับความสนใจเลยแม้แต่น้อย ผมว่ามันเป็นการเหน็บแนมอยู่กลายๆ ตรงที่ว่านี่คือดาราดังแห่งยุค ซึ่งคงไม่มีเวลาออกมาเดินตามถนนแบบนี้บ่อยนัก แต่มันเกิดขึ้นแล้วในหนังเรื่องนี้ แต่ก็ปรากฏว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับเธอ"
America's Sweethearts ถ่ายทำที่โลเกชั่นในนครลอส แองเจลิส โดยใช้โรงถ่ายของ Sony Pictures และที่ไฮแอทท์ รีเจนซี่ เลค ลาส เวกัส รีสอร์ท ในเฮนเดอร์สัน เนวาด้า ซึ่งอยู่ห่างจากลาส เวกัส ไปทางตะวันออกราว 40 นาที รีสอร์ทใหม่แห่งนี้นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเป็นโลเกชั่นที่อ้างว้างห่างไกลผู้คนตามที่ระบุไว้ในบทหนัง
"ลีกับกิกิส่งทุกคนไปอยู่โรงแรมร้าง ซึ่งไม่มีใครเคยไปมาก่อน มันเหมือนกับสร้างยังไม่เสร็จ" ร็อธอธิบาย "เหมือนๆ กับโรงแรมในหนังเรื่อง The Shining"
จริงๆ แล้ว โลเกชั่นที่ไฮแอทท์ รีเจนซี่ รีสอร์ทแห่งนี้เป็นพื้นที่ห่างไกล และกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา การติดต่อสื่อสารด้วยโทรศัพท์มือถือก็นับว่ายุ่งยากเอาการ นั่นจึงทำให้งานเบื้องหน้ากับเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร
ผู้ออกแบบงานสร้าง การ์เร็ธ สโตเวอร์ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้กำกับหน่วยที่สองของหนัง America's Sweethearts นี้ด้วย ได้รับความสนุกสนานอย่างมากกับการควานหาโลเกชั่นร้างไร้ผู้คนของหนังเรื่องนี้
"สิ่งที่เราค้นพบนี้เป็นตัวเลือกที่ยอดที่สุด และมันใช้การได้จริงๆ โรงแรมไฮแอทท์แห่งนี้ตกแต่งด้วยด้วยศิลปะแบบมอร็อคโค และมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับหนังเรื่องนี้ ส่วนในแง่ของการออกแบบก็ถือได้ว่ามีความสมบูรณ์มาก โจต้องการให้หนังที่ออกมาดูตลก สบายๆ และมีชีวิตชีวา เราจึงใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ และเน้นให้มันดูโรแมนติก และสบายมากขึ้น" สโตเวอร์กล่าว(ยังมีต่อ)
-อน-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ