กรุงเทพฯ--19 พ.ค.--นานมีบุ๊คส์
ทักษะการเป็นพลเมืองดี ถือเป็นคุณสมบัติพื้นฐานสำคัญของมนุษยชน การปลูกฝังและพัฒนาทักษะดังกล่าวจึงจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก นอกจากผู้ปกครองที่จะคอยดูแลและสอนลูกแล้ว บทบาทของครูผู้สอนก็มีอิทธิพลไม่แพ้กัน ที่จะขัดเกลาพฤติกรรมเพื่อเตรียมพร้อมให้เด็กได้อยู่ในสังคมอย่างมีคุณภาพ นานมีบุ๊คส์ เห็นความสำคัญของการพัฒนาการเป็นพลเมืองดี จึงจัดทำโครงการสัมนาพิเศษ Positive Parenting การเลี้ยงลูกเชิงบวก โดยเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญร่วมพูดคุยกับคุณครูทุกระดับชั้น เพื่อแนะแนวทางการสอนนักเรียนให้เหมาะสมกับช่วงวัย ถึง 3 หัวข้อการเรียนรู้ ได้แก่ สอนให้เด็กรู้จักช่วยเหลือตัวเองอย่างภาคภูมิใจในหัวข้อ หนูทำได้ (Parent as Coach) สร้างความเข้าใจเรื่องทักษะสมองในหัวข้อ พัฒนาศักยภาพลูกรักด้วย EF และสุดท้ายหัวข้อ คุยกับลูกด้วยวิธีชี้แนะ (Parent as Coach) เผยเคล็ดลับวิธีการพูดคุยกับเด็กและผู้ปกครองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มพูนพัฒนาการของเด็กให้ดีเป็นสองเท่า
โรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาองค์ความรู้ทั้ง 3 หัวข้อ ซึ่งมีความสอดคล้องกับแนวทางส่งเสริมคุณภาพนักเรียนอย่างยั่งยืน จึงได้จับมือกับนานมีบุ๊คส์ จัดอบรมให้กับครูในโรงเรียนจำนวน 300 คน
ดร.นิสากร ชัชวาลพาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา กล่าวว่า "โรงเรียนของเรามีนโยบายการส่งเสริมศักยภาพครู ทั้งด้านวิชาการและจิตวิทยาในการดูแลเด็กควบคู่กัน โครงการสัมมนา Positive Parenting จึงช่วยสนับสนุนนโยบายของเราที่มุ่งเน้นการปูพื้นฐานของเด็กตั้งแต่อนุบาล เพื่อให้เด็กมีทักษะทางพฤติกรรมที่ดีขึ้น เริ่มจากหัวข้อแรก "หนูทำได้" จะเป็นการช่วยดึงศักยภาพของเด็กที่เราอาจมองข้ามขึ้นมา หัวข้อที่สอง "การพัฒนาทักษะ EF" จะช่วยในการฝึกให้นักเรียนจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งส่งผลให้มีผลการเรียนที่ดีขึ้น และสุดท้ายแนะวิธีการพูดคุยกับเด็กอย่างเข้าใจ หรือคุณครูพูดคุยกับผู้ปกครองให้เป็นไปได้ด้วยดี โดยเราได้รับความร่วมมือจากทาง นานมีบุ๊คส์ ทั้งเรื่องขององค์ความรู้และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาอบรมคุณครูทุกท่านก่อนที่จะเปิดการศึกษาใหม่ กล่าวได้ว่าจุดเริ่มต้นที่เรามองนานมีบุ๊คส์เป็นบริษัทที่พัฒนาหนังสือและเราใช้หนังสือของนานมีบุ๊คส์มาใช้เสริมการเรียนรู้ในแต่ละรายวิชา เช่น ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ จนกระทั่งมาเห็นว่ามีการจัดโครงการอบรมครูและผู้ปกครองของนานมีบุ๊คส์ ซึ่งมีคุณภาพที่จะมาช่วยสนับสนุนคุณครูของเราได้ ทางโรงเรียนเองก็ประจักษ์อยู่แล้วว่าการเรียนรู้ของเด็กโดยเฉพาะวัยอนุบาล การเรียนอย่างเดียวโดยไม่มีทักษะการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมเลยอาจไม่เพียงพอ ฉะนั้นกิจกรรมในวันนี้จึงจะช่วยพัฒนาครูผู้สอน เพื่อนำไปใช้กับเด็กของเราให้มีคุณภาพและพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษายุค 4.0"
เริ่มด้วยหัวข้อแรกการปูพื้นฐานเทคนิคการสอนเด็กในระดับอนุบาล ในหัวข้อ หนูทำได้ (Parent as Coach) โดย อรทัย เฉลิมสินสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนรู้ Nanmeebooks Learning Center ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก มาแนะแนวทางการสอนและฝึกฝนเด็กๆ ให้มีทักษะการช่วยเหลือตัวเอง เพื่อดึงศักยภาพและพัฒนาเขาให้เกิดความเชื่อมั่นในความสามารถและเกิดความภาคภูมิใจในตนเองตั้งแต่วัยเด็ก
อรทัย กล่าวถึงความสำคัญของทฤษฎีในหัวข้อหนูทำได้ว่า "คุณครูชั้นอนุบาล จะต้องตระหนักเข้าใจว่าเด็กในช่วงวัยนี้เป็นช่วงเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ดังนั้นถ้าเราจะส่งเสริมหรือพัฒนาเขาในด้านใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันตอนอยู่ที่โรงเรียน การช่วยเหลืองาน หรือความพยายามในการดูแลตนเองให้ได้ เราควรส่งเสริมเขาตั้งแต่ช่วงวัยนี้ กิจกรรมวันนี้จึงจะให้คุณครูเห็นตัวอย่างพลเมืองของประเทศญี่ปุ่น โดยอ้างอิงจากหนังสือชุดหนูทำได้ เช่น กรณีศึกษาจากประเทศญี่ปุ่น เขาจะฝึกให้เด็กมีระเบียบวินัย เคารพกติกาของสังคม สามารถดูแลตัวเองได้ และสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างชัดเจน เพื่อผลักดันนักเรียนให้เติบโตเป็นอนาคตของชาติอย่างสมบูรณ์แบบค่ะ"
หลังจากสร้างความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กเล็กแล้ว สิ่งที่คุณครูยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือองค์ความรู้เรื่องทักษะสมอง ในหัวข้อที่สอง การพัฒนาศักยภาพลูกรักด้วย EF โดย สุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบัน RLG ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท รักลูก กรุ๊ป มาให้ความรู้เรื่องทักษะ EF ตั้งแต่สร้างความเข้าใจในกระบวนการทางความคิดในส่วนของสมอง เพื่อความสามารถในการบริหารจัดการชีวิต ไปจนถึงแนะแนวกิจกรรมที่คุณครูสามารถทดลองทำได้ด้วยตัวเอง และนำไปใช้ในการสอนนักเรียนได้อย่างแท้จริง
สุภาวดี กล่าวถึงความสำคัญของการนำทักษะ EF มาใช้ในการสอนว่า "โรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษาเป็นโรงเรียนใหญ่และมีครูหลายระดับชั้น สิ่งที่เรานำมาบรรยายวันนี้ จึงเป็นฐานที่จะทำให้คุณครูผู้สอนตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงเด็กโต ได้เกิดความเข้าใจในทฤษฎี EFจะทำให้คุณครูได้ตระหนักถึงความสำคัญของทักษะสมอง ที่คุณครูทุกคนสมควรได้รับการส่งเสริมอย่างเข้าอกเข้าใจ เพื่อนำไปฝึกฝนจนเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จนกระทั่งเป็นคุณครู EF แล้วจึงนำสิ่งเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ถ่ายทอดสู่นักเรียนในความดูแลได้อย่างเข้าใจ เพราะฉะนั้นเรื่องสำคัญนอกจากการตระหนักรู้แล้ว นั่นคือการฝึกฝนของคุณครูนั่นเอง วันนี้จึงมาแนะแนวทางกระบวนที่คุณครูจะได้ทดลอง ได้ใช้ และจะกลับมาทบทวนตนเองใหม่ ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นวงจรการเรียนรู้ และนำทักษะด้านนี้ไปพัฒนาคุณภาพของนักเรียนของตนเองได้ในที่สุดค่ะ"
ปิดท้ายด้วยหัวข้อ คุยกับลูกด้วยวิธีชี้แนะ (Parent as Coach) โดยนายแพทย์อิทธิฤทธิ์ จุฬาลักษณ์ศิริบุญ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว และ แพทย์หญิงสาริณี จุฬาลักษณ์ศิริบุญ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ผู้ก่อตั้งเพจ Dad Mom and Kids มาเผยถึงเทคนิคการพูดคุยกับนักเรียนอย่างไรให้เขามีพัฒนาการที่ดีขึ้น รวมถึงวิธีสานต่อการอบรมลูกศิษย์สู่การเลี้ยงดูลูกที่บ้านของผู้ปกครอง เพื่อการส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
แพทย์หญิงสาริณี กล่าวว่า "เรื่องที่หมอนำมาบรรยายวันนี้คือเรื่องวิธีการพูดคุย สำหรับคุณครูจะมีสองประเด็น นั่นคือคุยกับเด็กและคุยกับผู้ปกครอง คิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะว่าคุณครูต้องคุยกับเด็กทุกวันอยู่แล้ว ถ้าคุยอย่างมีทักษะมากขึ้น ประสิทธิภาพในการสอนนักเรียนก็จะดียิ่งขึ้น และในเรื่องของการคุยกับผู้ปกครอง ถ้าคุณครูมีทักษะในการคุยกับผู้ปกครอง เวลาที่เราจะขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครองเกี่ยวกับเรื่องนักเรียนก็จะง่ายยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์สูงสุดกับตัวเด็กเอง"
ด้าน นายแพทย์อิทธิฤทธ์ กล่าวเสริมว่า "นับเป็นโอกาสดีที่นานมีบุ๊คส์ได้เชิญเรามาร่วมพูดคุยกับคุณครูในวันนี้ ทำให้เราได้มีโอกาสแนะแนวทางคุณครูยุคใหม่ ให้เห็นความสำคัญของการสื่อสาร คำพูดมันเป็นเหมือนอาวุธชนิดหนึ่ง ถ้าเรานำมาใช้ในทางที่ผิด มันก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ดี เช่นถ้าเรามีมีด 1 เล่ม นำไปแทงผู้อื่นมันจะก่อเกิดปัญหาแน่นอน แต่ถ้าเรานำมาปอกผลไม้ แบบนี้มันจะก่อให้เกิดประโยชน์กว่าวิธีการแรกอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับเรื่องการเลือกใช้วิธีการสื่อสารกับเด็กหรือผู้ปกครอง วันนี้เราจึงมาให้ข้อมูลเรื่องวิธีการใช้คำพูดที่เหมาะสม ถ้าเราใส่ใจในเรื่องนี้ และก็ปรับคำพูดเล็กน้อยผลลัพท์ที่ได้จะแตกต่างกันออกไปตามสารที่เราสื่อ ฉะนั้นการสอนเด็กในความดูแลเราจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ไม่น้อยไปกว่าองค์ความรู้ทางวิชาการครับ"
ปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณพ่อและคุณแม่ทุกท่านอยากส่งเสริมลูกรักให้เป็นคนเก่ง ควบคู่ไปกับการเป็นคนดี สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การปลูกฝังทักษะเหล่านี้จากบุคคลใกล้ตัว ทั้งจากผู้ปกครองสานต่อมายังคุณครูผู้เปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของนักเรียน ที่จะต้องเรียนรู้วิธีสื่อสารและรับมือกับเด็กตั้งแต่วัยอนุบาล โครงการสัมมนา Positive Parenting การเลี้ยงลูกเชิงบวก จึงจัดทำขึ้นมาเพื่อแนะนำวิธีการส่งเสริมทักษะชีวิตของเด็ก เพื่อพัฒนาศักยภาพของเขาสู่การเป็นพลเมืองคุณภาพในอนาคตต่อไป
นานมีบุ๊คส์จัดหลักสูตรโครงการอบรมครูและผู้ปกครอง ต่อเนื่องตลอดปี รวมถึงให้คำปรึกษาและรับจัดอบรมหลักสูตรต่างๆ ตามความต้องการ ทั้งหลักสูตรพัฒนาผู้สอน ร่วมไปถึงค่ายสำหรับเยาวชน สำหรับหน่วยงานหรือโรงเรียนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0-2662-3000 ต่อ 4408 หรือ Call Center 02-662-3000 กด 1 และ www.nanmeebooks.comหรือwww.facebook.com/nanmeebooksfan