กรุงเทพฯ--19 พ.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บจ. ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2560 รวม 2.85 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.36% จากงวดเดียวกันในปีก่อน จากการฟื้นตัวของหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ขณะเดียวกัน หมวดธุรกิจในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคยังคงเติบโตได้ดี
ดร. สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน SET จำนวน 572 บริษัท หรือคิดเป็น 92.41% จากทั้งหมด 619 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงาน งวดไตรมาส 1/2560 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 พบว่า บจ. มีกำไรสุทธิจำนวน 431 บริษัท คิดเป็น 75.35% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ไตรมาส 1/2560 บจ. มียอดขายรวม 2,705,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.28% และมีกำไรสุทธิ 284,662 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.36%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มีผลประกอบการดีขึ้นทั้งยอดขายและกำไรสุทธิ ทั้งนี้ บจ. มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 23.98% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2559 ผลของราคาน้ำมันในตลาดโลกโดยเฉลี่ยในไตรมาส 1/2560 ที่สูงขึ้นราว 70% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน มาอยู่ที่ 53 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรล ได้ส่งผลดีต่อหมวดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์น้ำมัน ขณะเดียวกัน ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของหมวดธุรกิจอื่น ๆ โดยรวมเช่นกัน
อย่างไรก็ดี หากไม่รวมหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ในไตรมาส 1/2560 ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจอื่นมีผลประกอบการปรับดีขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในหมวดธุรกิจด้านการอุปโภคบริโภค โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 4.89% และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 2.31% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
"ในไตรมาส 1/2560 บจ. ไทยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของธุรกิจน้ำมันและปิโตรเคมี ซึ่งเป็นผลจากยอดขายที่สูงขึ้น รวมถึงมีกำไรสูงขึ้นตามอัตรากำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีภัณฑ์ที่สูงขึ้น ขณะที่หมวดธุรกิจอื่น ๆ ที่มียอดขายและกำไรสุทธิเติบโตดีส่วนใหญ่ คือ หมวดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค เช่น หมวดพาณิชย์ หมวดธุรกิจการเกษตร หมวดแฟชั่น หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หมวดธนาคาร และหมวดเหมืองแร่
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการของ บจ. ขนาดกลาง หรือกลุ่ม SET51-100 มีอัตราการเติบโตลดลง แต่หากดูจำนวน บจ. ที่มีกำไรสุทธิ ยังคงมีสัดส่วนอยู่ที่ 75% ของ บจ. ทั้งหมดที่ส่งงบการเงิน ซึ่งเป็นสัดส่วนเดียวกันกับในไตรมาส 1/2559" ดร. สันติกล่าว
เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2559 บจ. มียอดขายเพิ่มขึ้น 1.56% และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 41.98% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเมื่อเทียบกับในไตรมาส 4/2559 ซึ่งอยู่ที่ 24.38% ในด้านโครงสร้างเงินทุนของ บจ. ยังคงอยู่ในเกณฑ์แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ณ ไตรมาส 1/2560 อยู่ที่ 1.21 เท่า ใกล้เคียงกับ 1.20 เท่าในช่วงเดียวกันในปีก่อน และลดลงจาก 1.25 เท่า ณ สิ้นปี 2559
ผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น แต่บางหมวดธุรกิจเริ่มได้รับผลกระทบจากการที่ธุรกิจมีการแข่งขันด้านราคามากขึ้น โดยไตรมาส 1/2560 บจ. mai มียอดขาย 34,659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.42% และมีกำไรสุทธิ 1,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 23.77% ลดลงเล็กน้อยจาก 24.06%จากไตรมาส 1/2559