กรุงเทพฯ--25 พ.ค.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์
เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงวัยสูงอายุแล้วสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนั้น คือความเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ที่จะเสื่อมถอยลงตามกาลเวลา จนก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา อาทิ โรคทางสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งโรคทางสายตา ซึ่งประเทศไทยนับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2548 ด้วยจำนวนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในอัตราร้อยละ 10.5 และคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.7 ภายในปี 2573 ดังนั้นการเตรียมพร้อมรับมือในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญที่บุตรหลานหรือคนใกล้ชิดไม่ควรละเลย
รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ จักษุแพทย์ผู้เชียวชาญด้านต้อหิน ต้อกระจก และ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรคต้อกระจก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ร้อยละ 95 เป็นต้อกระจกที่มีสาเหตุมาจากความเสื่อมตามอายุ ส่วนสาเหตุอื่นๆ อาทิ การเกิดอุบัติเหตุของดวงตา การได้รับสารเคมี การหยอดตาหรือทานยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งอาจพบ ได้ร้อยละ 3-4 และสุดท้ายคือต้อกระจกแต่กำเนิดซึ่งพบได้ในเด็กแรกเกิดร้อยละ 1-2
โรคต้อกระจกในระยะแรกอาจจะไม่มีอาการที่ส่งสัญญาณบอกอย่างเด่นชัด เมื่อเป็นมากขึ้นผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการตามัวทีละน้อยๆ คล้ายกับมีหมอกมาบัง โดยเฉพาะเมื่อเจอแสงสว่างหรือแสงแดดก็จะรู้สึกมัวมากยิ่งขึ้น ในคนไข้บางรายอาจพบว่าค่าสายตามีการเปลี่ยนแปลง เช่น จากเป็นคนที่จำเป็นต้องใส่แว่นสายตาสำหรับมองในระยะใกล้ทุกครั้ง ก็กลายเป็นสามารถมองระยะใกล้ได้โดยที่ไม่ต้องใส่แว่นสายตาอีกต่อไป หากอาการตามัวเป็นมากขึ้นจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และอาจนำไปสู่ภาวะการสูญเสียการมองเห็น อันเป็นผลเสียอย่างมากต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ
ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการรักษาต้อกระจกมีความก้าวหน้ามากจนสามารถทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจนดังเดิมหรือดีกว่าเดิมได้
การรักษาต้อกระจกประกอบด้วย
1. แบบไม่ใช้การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่เป็นต้อกระจกที่ยังเป็นไม่มากอาจใช้การสวมแว่นตา การใช้ยาหยอดตาเพื่อช่วยชะลอหรือลดความขุ่นของต้อกระจกซึ่งอาจได้ผลไม่แน่นอน ส่วนการขยายม่านตาเพื่อรับแสงเข้าดวงตามากยิ่งขึ้นอาจใช้ในการรักษาโรคต้อกระจกแต่กำเนิดได้
2. แบบใช้การผ่าตัด โดยผ่าตัดเอาต้อกระจกออกแล้วใส่เลนส์เทียมเข้าไปในดวงตา ถือเป็นการรักษาที่ให้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน โดยทั่วไปจะใช้คลื่นความถี่สูงในการสลายต้อกระจก หรืออาจจะมีการใช้เลเซอร์ช่วยในการผ่าตัดได้
สำหรับเลนส์เทียมสามารถแบ่งตามลักษณะวัสดุในการผลิต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
1. เลนส์เทียมชนิดแข็ง เป็นเลนส์เก้วตาเทียมที่ใช้ในการผ่าตัดต้อกระจกชนิดแผลใหญ่ โดยเลนส์จะแข็งไม่สามารถพับได้ ปัจจุบันจะใช้ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น
2. เลนส์เทียมชนิดนิ่มหรือชนิดพับได้ เป็นเลนส์เทียมที่สามารถพับและสอดผ่านแผลผ่าตัดต้อกระจกที่มีขนาดเล็กเพียงประมาณ
2.5 มิลลิเมตรได้ จึงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะเมื่อแผลผ่าตัดเล็กลง ระยะการพักฟื้นและการหายของแผลก็จะเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน ผู้ป่วยจึงสามารถใช้สายตาภายหลังการผ่าตัดได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เลนส์เทียมชนิดนิ่มสามารถแบ่งได้อีก 3 ประเภท คือ
2.1 เลนส์เทียมที่ให้ความชัดระยะเดียว คือระยะไกล ปัจจุบันใช้ในผู้ป่วยประมาณร้อยละ 90
2.2 เลนส์เทียมที่ให้ความชัดได้สองระยะ คือ ให้ความชัดระยะใกล้และระยะไกล โดยปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้มีระยะชัดสามระยะ คือ ให้ความชัดระยะใกล้-กลาง-ไกล
2.3 เลนส์แบบยืดหยุ่น ปรับระยะได้ในตัวเอง ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการคิดค้นพัฒนา
การเลือกใช้เลนส์เทียมชนิดใดนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แต่ที่สำคัญคือลักษณะของดวงตาผู้ป่วย การตรวจตาโดยจักษุแพทย์ว่ามีภาวะอื่นๆ ทางตาร่วมด้วยหรือไม่ เช่น โรคของจอตา โรคของกระจกตา ความเอียงของสายตา เป็นต้น ความรู้ของผู้ป่วยและญาติในเรื่องโรคต้อกระจก วิธีการรักษา วิธีการผ่าตัด และชนิดเลนส์เทียม จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาและชนิดของเลนส์เทียมได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นภายหลังจาการผ่าตัดรักษาต้อกระจก
"ต้อกระจกเป็นโรคที่เมื่อตรวจพบได้เร็ว จะสามารถรักษาให้หายได้อย่างทันท่วงที และไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การดูแลและเอาใจใส่ผู้สูงอายุจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่บุตรหลานหรือคนใกล้ชิดควรตระหนัก โดยการเริ่มต้นง่ายๆ คือ การพาท่านไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือคนทั่วไปที่อายุ 45 ปีขึ้นไป ก็ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งเช่นเดียวกัน"รศ.นพ.นริศ กล่าวเพิ่มเติม