กรุงเทพฯ--29 พ.ค.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับ นายแบร์น อูโด ฮาฮ์น (Mr. Bernd - Udo Hahn) รองปลัดกระทรวงอาหารและการเกษตรเยอรมนี เกี่ยวกับงานประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยอาหารและการเกษตร (Global Forum for Food and Agriculture: GFFA) ซึ่งจะจัดคู่ขนานระหว่างการจัดงาน International Green Week 2018 ที่กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 28 มกราคม 2561 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งเยอรมนีได้เชิญกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการจัดแสดงคูหา พร้อมทั้งได้เรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ) เข้าร่วมการประชุม GFFA เพื่อหารือในประเด็นที่เป็นคำถามสำคัญระดับโลกเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมเกษตร โดยการประชุมจะประกอบด้วยผู้แทนจากหลากหลายสาขา ทั้งสาขาการเมือง ธุรกิจ วิทยาศาสตร์ และสังคม เพื่อร่วมแบ่งปันความคิดเห็นต่อนโยบายด้านการเกษตรในปัจจุบัน โดยระหว่างการสัมมนา GFFA ดังกล่าว จะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการเกษตรควบคู่ภายใต้การสัมมนา ซึ่งเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการเกษตร
พร้อมกันนี้ทางเยอรมนีได้เชิญชวนให้ฝ่ายไทยเข้าร่วมเยี่ยมชมคูหาเยอรมนีในงานแสดงสินค้า THAIFEX-World of Food ASIA 2017 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม- 4 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่มุ่งเน้นส่งเสริมการส่งออกสินค้าอาหารและเครื่องดื่มของไทย เพื่อเปิดโลกทัศน์การเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้ชาวต่างชาติและคนไทยได้รับรู้ถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ประกอบการด้านสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมอาหารทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ร่วมออกบูธจาก 45 ประเทศทั่วโลก จำนวนกว่า 2,100 บริษัท 5,200 คูหา
ทั้งนี้ ทางเยอรมนีได้ขอทราบถึงนโยบายการปรับโครงสร้างด้านการเกษตรของไทยเพื่อก้าวเข้าสู่ เกษตร 4.0 และความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางอาหาร ซึ่งในปี 2560 กระทรวงเกษตรฯ ได้กำหนดให้เป็น "ปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน" โดยมีการเชื่อมโยงเป้าหมายเกษตร 4.0 กับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ยกกระดาษ A4) โดยการพัฒนาและใช้พื้นที่เกษตรกรรมที่มีอย่างจำกัด สู่เป้าหมายปลายทาง คือ คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น ทั้งด้านฐานะทางสังคม มีรายได้เพิ่มขึ้น หนี้สินลดลง ตลอดทั้งทำให้สินค้าเกษตรมีคุณภาพมีตลาดรองรับ ทำให้ต้นทุนลดลง ร้อยละ 20 และผลผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20
ขณะที่ทางฝ่ายไทยได้หารือถึงความร่วมมือแบบบูรณาการด้านการเกษตรร่วมกับเยอรมนี เนื่องจากเยอรมนีเป็นประเทศที่เป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง ทั้งในด้านเครื่องจักรการเกษตร นวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงานทดแทน การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีคุณภาพ หากทั้งสองประเทศได้ร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยน องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร ในเชิงของการพัฒนาสินค้าเกษตรของไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และการเลือกเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของไทยไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม แก้ไขปัญหากลไกการตลาด สร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับ SMEs ไทย และสามารถต่อยอดไปสู่การค้าต่อไปในอนาคต ซึ่งในรายละเอียดได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันต่อไป นอกจากนี้ ยังได้แจ้งให้ทางเยอรมนีได้ทราบถึงการดำเนินงานของกรมประมงเพื่อต่อต้านการใช้แรงงานผิดกฎหมายและการใช้แรงงานเด็ก ซึ่งประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลไทยได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมายเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งทางเยอรมนีได้รับทราบถึงความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาของไทย และจะแจ้งให้ให้หน่วยงานในสหภาพยุโรปรับทราบต่อไป