กรุงเทพฯ--30 พ.ค.--อาร์ค เวิลดไวด์
เด็กไทยในยุคปัจจุบันมีแนวโน้มพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่เข้าสังคม และการเข้าสู่โลกดิจิตอล ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป เด็กๆตกอยู่ท่ามกลางความรวดเร็ว ความเร่งรัดจนทำให้เด็กหลายคนมีสมาธิสั้น เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์ร้ายและก้าวร้าว จากผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 90 ของแม่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองว่า ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) มีความสำคัญพอๆ กับความฉลาดทางสติปัญญา (IQ)
นักวิจัยจาก Pennsylvania State University และ Duke University ตามเก็บข้อมูลจากเด็กๆ กว่า 700 คน ทั่วสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วัยอนุบาลจนถึงอายุ 25 ปี พบว่ามีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างทักษะทางสังคมเมื่อเป็นเด็กอนุบาล และความสำเร็จเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ในยี่สิบปีต่อมา เด็กที่มีความสามารถในการเข้าสังคม สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ช่วยเหลือผู้อื่นเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น และแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง มีแนวโน้มที่จะเรียนจบระดับปริญญาและมีงานประจำภายในอายุ 25 ปี มากกว่าเด็กที่มีความสามารถทางสังคมจำกัด ซึ่งผลสำรวจเหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่า ความฉลาดทางความคิดควบคู่ไปกับความฉลาดด้านอารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จในอนาคต
พ่อแม่มีบทบาทสำคัญมากที่จะช่วยเตรียมความพร้อมให้ลูกตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ถึง 3 ขวบปีแรก เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคต เริ่มตั้งแต่ด้านโภชนาการ ซึ่ง "นมแม่" นับเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและสมองของลูก
โดยล่าสุด วงการแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทั้งสูตินรีแพทย์ และกุมารแพทย์ ทั่วประเทศกว่า 1,500 คน ให้ความสนใจเข้าร่วมสัมมนาวิชาการภายใต้หัวข้อ "New Insights into Bioactive Components from Human Milk" ร่วมไขรหัสสารอาหารสมองตัวใหม่ที่พบในน้ำนมแม่ ที่เรียกว่า MFGM หรือ Milk Fat Globule Membrane โดย ศาสตราจารย์ เจฟฟรีย์ เคลกฮอร์น ผู้อำนวยการสถาบัน Institute of Health & Biomedical Innovation for Child Health Research Centre ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า งานวิจัยทางการแพทย์ล่าสุดค้นพบสารอาหารบำรุงสมองในนมแม่ ได้แก่ MFGM ซึ่งเป็นเยื่อหุ้มอนุภาคไขมัน เยื่อบางๆ นี้อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันกว่า 150 ชนิด[1] ทำหน้าที่ช่วยสร้างปลอกไขมันหุ้มเส้นใยสมอง (Myelin Sheath) ช่วยเพิ่มความเร็วในการรับส่งสัญญาณประสาท โดยจากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า เมื่อ MFGM ทำงานร่วมกับ DHA จะช่วยเสริมการเชื่อมต่อเซลล์สมอง[2] โดยงานวิจัยชี้ว่าทารกที่ทานนมที่มี MFGM และ DHA จะมีพัฒนาการสมองและสติปัญญาใกล้เคียงกับทารกที่ดื่มนมแม่ ดีกว่าทารกที่ดื่มนมที่เพิ่ม DHA เพียงอย่างเดียวถึง 4 จุด*[3] ให้สมองทำงานเต็มที่ทั้งระบบ และยังช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์[4] โดยหลากหลายผู้เชี่ยวชาญระดับโลกได้ยอมรับและตื่นตัวกับการเติม MFGM ในผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับทารกและเด็กเป็นอย่างมาก
ด้าน รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า
"นมแม่ เป็นอาหารที่ดีที่สุดของลูกตั้งแต่แรกคลอด ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเตรียมตัวเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จึงควรเริ่มตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ และหลังคลอด ทีมแพทย์และพยาบาลจะให้ความรู้เกี่ยวกับการให้นมแม่เพื่อช่วยส่งเสริมคุณแม่ให้สามารถให้นมลูกได้สำเร็จ แต่ปัญหาของคุณแม่หลังคลอดบางท่านพบว่า คุณแม่อาจมีน้ำนมไม่เพียงพอหรือไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวได้ จากสาเหตุต่างๆ เช่น การติดเชื้อบางชนิด หรือการใช้ยาบางอย่าง เป็นต้น หากคุณแม่มีความจำเป็นที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ เราควรให้นมผสมที่มีคุณภาพดี ที่จะช่วยพัฒนาสมองและพัฒนาการต่างๆ ซึ่งสมองของเด็กจะพัฒนาสูงสุดในช่วงตั้งครรภ์ถึง 3 ขวบปีแรก เรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองที่มีความสำคัญมาก ดังนั้นการเลือกให้ลูกได้รับนมผสมที่มีส่วนผสมของ MFGM ก็เป็นทางเลือกหนึ่งของคุณแม่ ที่จะช่วยให้ทารกได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเหมาะสม"
รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ กล่าวเสริมว่า "ในสมัยก่อนเวลาตั้งครรภ์ ส่วนมากคุณแม่มักจะลุ้นแค่ขอให้ลูกคลอดออกมาสมบูรณ์และแข็งแรงก็พอใจแล้ว แต่ในปัจจุบันด้วยความรู้ทางการแพทย์ที่มากขึ้น ทำให้เราสามารถทราบถึงพัฒนาการของลูกน้อยได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ยิ่งในปัจจุบันมีข้อมูลจากสื่อต่างๆ มากมาย แนะนำวิธีให้คุณแม่กระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ คุณแม่หลายคนจึงอยากกระตุ้นให้สมองของลูกมีการพัฒนาที่ดี ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยหวังว่าเมื่อคลอดออกมา ลูกจะได้เป็นเด็กฉลาด ไหวพริบดี หรืออารมณ์ดี ซึ่งถึงแม้ว่ายังไม่มีข้อสรุปว่า วิธีการไหนที่ดีที่สุด เพียงแต่มีข้อสังเกตว่าทารกจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มีสติปัญญาดี เลี้ยงง่าย อารมณ์ดี ดังนั้นทั้งสารอาหารและการกระตุ้นพัฒนาการจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการที่ดีของเด็กได้"
รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวว่า "การที่คนเราจะมีลูกที่อารมณ์ดี สมองดี และมีความเฉลียวฉลาด เป็นสุดยอดปรารถนาของพ่อแม่ มีปัจจัยที่มาเกี่ยวข้องหลายประการ ปัจจัยที่สำคัญ 3 ประการ คือ กรรมพันธุ์ โภชนาการแม่ขณะตั้งครรภ์และของลูกภายหลังคลอด และประการสุดท้ายคือ สิ่งแวดล้อม งานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่าเด็กที่ได้รับนมที่เสริม MFGM และ DHA จะมีการพัฒนาความฉลาดได้อย่างเต็มระบบนอกเหนือจากด้านสติปัญญา นั่นคือ ความฉลาดทางอารมณ์ซึ่งแสดงออกมาทางด้านพฤติกรรมอีกด้วย ตัวอย่างพัฒนาการของลูกที่ช่วยส่งเสริมความก้าวล้ำทางความคิดและอารมณ์ มีหลักการง่ายๆอาทิ แรกเกิด ถึง 6 เดือน คุณแม่ต้องตอบรับกับสิ่งที่ลูกต้องการให้ทันท่วงที เช่น หากรู้ว่าลูกร้องไห้หิวนม ก็ต้องให้นม หรือ ร้องเพราะตกใจ ต้องได้รับการปลอบประโลม หมั่นพูดคุยกับลูก ให้ลูกรู้จักสื่อสารโต้ตอบ และสร้างความอุ่นใจให้ลูก 6 เดือนหลังถึง 1 ปี ส่งเสริมให้เด็กรู้จักอดทนรอคอย มีความสามารถในการควบคุมตัวเอง เช่น เมื่อลูกร้องหิวอาจยังไม่ต้องให้นมทันที แต่ให้อดทนรอได้เล็กน้อยระหว่างคุณแม่เตรียมตัวให้นม หรือเรียนรู้การคงอยู่ของสิ่งต่างๆรอบตัว ผ่านการเล่นจ๊ะเอ๋ หรือเล่นซ่อนแอบหลังผ้า เพื่อให้ลูกเรียนรู้ว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้หายไป แต่จะกลับคืนมา อีกทั้ง เมื่อเด็กได้ยิ้มได้หัวเราะ ก็เป็นการสร้างอารมณ์ที่ดี และพัฒนาสร้างความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับพ่อและแม่ 1 ปีขึ้นไป เด็กเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น เด็กสามารถเดิน ทรงตัว กิน และควมคุมตัวเองได้มากขึ้น คุณแม่ควรต้องให้เด็กได้พัฒนาตัวเองผ่านความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง เพราะเป็นโอกาสดีที่เด็กจะได้เรียนรู้และพัฒนาต่อยอดไปยังทักษะที่ยากขึ้น อายุ 3 ปีขึ้นไป เริ่มเรียนรู้การปรับตัวให้เข้ากับสังคมอื่นนอกจากผู้คนคุ้นเคยในบ้าน การให้เขาได้มีโอกาสเล่น ทำกิจกรรม ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นทุกเพศทุกวัย เป็นการส่งเสริมและต่อยอดทักษะทางด้านสังคมซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาตนเองอย่างรอบด้านให้กับเด็กๆ การส่งเสริมพัฒนาการเหล่านี้จะทำให้ เด็กมีความสามารถที่มากขึ้น มีสมาธิจอจ่อนานขึ้น ควบคุมตัวเองได้ดีไม่ก้าวร้าว และมีอารมณ์ดี ไม่ห่วงกังวลกับการเข้าสังคม บทบาทของโภชนาการช่วยเป็นอาหารของทั้งร่างกายและเซลล์สมอง นอกจากนั้นยังส่งผลให้การเชื่อมต่อเซลล์สมองทำได้ดีและ???มีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย เมื่อสมองทำงานได้ดี เด็กมีสมาธิจดจ่อ ก็จะประมวลข้อมูลต่างๆ ได้ดี จดจำเรียนรู้ต่อยอดได้ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสู่การพัฒนาที่ดีในแง่ความสามารถ ทัศนคติ และพฤติกรรมของเด็กในอนาคต ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ในสังคมปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เด็กที่มีความก้าวล้ำทั้งความคิดและอารมณ์จะปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้ดี โดยมีคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนอย่างเหมาะสมทั้งด้านโภชนาการและการเลี้ยงดู รวมทั้งการปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี จะช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จในชีวิต และก้าวไปได้ไกลกว่าคนอื่น ในโลกอนาคต"