กรุงเทพฯ--7 มิ.ย.--BANGKOK AUTUMN
บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ ถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 10/2560 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 ว่าได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัท เอชเอ็นซี เพาเวอร์ จำกัด ("HNC") จำนวน 1,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 100 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว มูลค่ารวมไม่เกิน 280 ล้านบาท จากบริษัท เคอาร์ซี แอดวานซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด พร้อมทั้งขออนุมัติงบประมาณการลงทุนในบริษัท เอชเอ็นซี พาวเวอร์ จำกัด โดยบริษัทจะเข้าทำรายการภายในเดือนมิถุนายน 2560 หลังการเข้าซื้อหุ้นบริษัทจะได้รับผลพลอยได้ 2 รายการคือ โรงงาน CPOA และโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส 4 MW ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีเนื่องจากโรงงาน CPOA กำลังจะเริ่มดำเนินก่อสร้าง มีขนาดกำลังการผลิตที่ 60/75 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง และ ขนาดกำลังไฟฟ้า 4 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในปลายปี 2560 และจะสร้างเสร็จและเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2562
ปัจจุบัน HNC ได้ดำเนินธุรกิจผลิตน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ และจัดจำหน่าย น้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มดิบ กากเมล็ดในปาล์ม (อาหารสัตว์) ปุ๋ยอินทรีย์ และพลังงานทดแทน มีกำลังการผลิตน้ำมันเมล็ดในปาล์มที่ 3,000 ตันต่อเดือนหรือ 36,000 ตันต่อปีและจัดจำหน่ายน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มดิบ กากเมล็ดในปาล์ม (อาหารสัตว์) ปุ๋ยอินทรีย์ อีกทั้งมีการถือหุ้นในบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ 1) บริษัท ริชฟิลด์ ออยล์ จำกัด (ถือหุ้นร้อยละ 100) ซึ่งปัจจุบันกำลังดำเนินการก่อสร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ ขนาดกำลังการผลิตที่ 60/75 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้ต้นปี 2562 2) บริษัท เอชเอ็นซี กรีน เอนเนอร์จี จำกัด (ถือหุ้นร้อยละ 100) ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและพลังงานทดแทน หากแต่ยังไม่ได้เริ่มกิจการ เนื่องจากจะต้องดำเนินการพร้อมกันกับโรง CPOA เพื่อนำน้ำเสียจากโรงดังกล่าวมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานไฟฟ้า คาดว่าจะก่อสร้างและขายไฟฟ้าได้ในช่วงกลางปี 2562
โดยบริษัทมองหาและศึกษาการลงทุนในด้านต่างๆ เพื่อมุ่งหวังที่จะสร้างผลกำไรอันสูงสุดให้แก่ตัวบริษัทและกลุ่มผู้ถือหุ้น และจากการศึกษาพบว่าการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้ามนปัจจุบันมีสภาวะการแข่งขันค่อนข้างสูงมาก อัตราผลตอบแทนที่บริษัทจะได้รับจากโครงการโรงไฟฟ้าค่อนข้างต่ำมาก เฉลี่ยอัตราผลตอบแทนเพียง 7-8% เท่านั้น บริษัทจึงต้องพิจารณาจัดสรรเลือกลงทุนเฉพาะในโครงการที่จะสร้างผลประโยชน์หรือผลตอบแทนให้แก่บริษัทสูงที่สุดจากเงินทุนที่มีค่อนข้างจำกัด ทางฝ่ายบริหารจึงได้ศึกษาโครงการของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ และจัดจำหน่ายน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มดิบ กากเมล็ดในปาล์ม (อาหารสัตว์) ปุ๋ยอินทรีย์ และพลังงานทดแทน ซึ่งน่าสนใจและเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างยั่งยืนจากความต้องการพื้นฐานในการอุปโภคบริโภค ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศจะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม แต่การอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกปี และแนวโน้มในการเจริญเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เราจึงได้เล็งเห็นถึงโอกาสการเจริญเติบโตอย่างมีศักยภาพของกลุ่มธุรกิจดังกล่าว
ด้านประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับบริษัทในการเข้าทำรายการคือ สามารถเพิ่มรายได้และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัท ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว, บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการดำเนินงานได้เร็วขึ้นกว่าที่บริษัทจะไปเริ่มธุรกิจตั้งแต่ต้น, จากการที่ฝ่ายบริหารและที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทได้ร่วมกันประเมินและศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในโครงการดังกล่าว ด้วยการจัดทำประมาณการทางการเงิน และคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการ (Project IRR) ได้ร้อยละ 16.60 ทำให้คาดได้ว่าการลงทุนในโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างผลตอบแทนในอัตราที่เหมาะสมให้กับบริษัท มีศักยภาพในการทำกำไรและทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้น อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวนโยบายของบริษัท เนื่องจากบริษัทได้สนใจในธุรกิจพลังงาน ซึ่งธุรกิจดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกันกับธุรกิจพลังไฟฟ้า และยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าอย่างเดียว, ราคาที่ลงทุนเป็นราคาที่สะท้อนเฉพาะธุรกิจปัจจุบันเพียงธุรกิจเดียวบนกำลังการผลิตในอดีตของบริษัท โอกาสที่บริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มมากขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตจากโรงงานในปัจจุบันคือ CPKO เป็น 45% มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากและยังมีธุรกิจต่อเนื่องอีก 2 ธุรกิจ ซึ่งทางบริษัทจ่ายเงินลงทุนเพียงธุรกิจเดียว ทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทน upside gain ซึ่งเป็นผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากการผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในปัจจุบันด้วย
ทั้งนี้บริษัทได้วางเงินมัดจำจำนวน 100 ล้านบาท โดยมีหุ้นบริษัท เอชเอ็นซี พาวเวอร์ จำกัด จำนวน 1,275,000 หุ้น หรือสัดส่วน 51% ของทุนจดทะเบียน(ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท) มาวางเพื่อเป็นหลักประกัน เพื่อตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ (Due Diligence) รวมถึงการประเมินมูลค่ากิจการ การตรวจสอบสถานะทางกฎหมาย ทางบัญชี และอยู่ภายใต้เงื่อนไขความพึงพอใจในผลของการตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ