กรุงเทพฯ--7 มิ.ย.--ธนาคารกสิกรไทย
สมาคมธนาคารไทยเผยยอดโอนผ่านพร้อมเพย์ทั้งหมดทั้งหมดทะลุ 7.5 ล้านรายการ มูลค่า 4.8 หมื่นล้านบาท จากผู้ลงทะเบียนบุคคลธรรมดา 28.3 ล้านราย นิติบุคคลมากกว่า 30,000 ราย ครึ่งปีหลังเตรียมเปิด 2 บริการใหม่ รีเควสท์ทูเพย์ ให้ร้านค้าเรียกเก็บเงินและบุคคลจ่ายเงินผ่านพร้อมเพย์ได้ และบริการชำระบิลข้ามธนาคารช่วยภาคธุรกิจออกบิลเพื่อการชำระเงินได้ง่าย หวังลูกค้าบุคคลและภาคธุรกิจใช้งานขึ้น คาดสิ้นปียอดลงทะเบียน 30ล้านรายการ
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมธนาคารไทย และธนาคารทั้ง21 แห่ง ได้ร่วมขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment เปิดให้บริการพร้อมเพย์เพื่อเป็นช่องทางโอนเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับลูกค้าบุคคลตั้งแต่ 27 มกราคมศกนี้และขยายสู่ลูกค้านิติบุคคลตั้งแต่ 1 มีนาคม มีผลตอบรับการใช้งานจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 21พฤษภาคม 2560พบว่า มูลค่าธุรกรรมสะสมผ่านพร้อมเพย์ทั้งระบบมากกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท จากจำนวนธุรกรรม 7.5 ล้านรายการโดยวันที่ปริมาณธุรกรรมสูงสุดมีการโอนประมาณ 1 แสนรายการ
ในครึ่งหลังปีนี้ บริการพร้อมเพย์จะเพิ่ม 2 บริการใหม่เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ได้แก่ บริการรีเควสท์ทูเพย์ (Request to Pay) ให้บริษัทผู้ขายสินค้า บริการ เบี้ยประกัน ฯลฯ ส่งคำสั่งเรียกเก็บเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ และลูกค้าก็สามารถกดยืนยันและชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ได้ทันที ดังนั้นรีเควสท์ทูเพย์จะอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งผู้เรียกเก็บเงินและผู้ชำระเงิน โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
สำหรับอีกบริการ คือ บริการชำระบิลข้ามธนาคาร (Cross Bank Bill Payment) เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ภาคธุรกิจที่ส่งบิลเรียกเก็บค่าบริการจากลูกค้าเป็นประจำ สามารถสมัครใช้บริการชำระบิลข้ามธนาคารกับธนาคารเพียงแห่งเดียว (Bank Agent) ลูกค้าของธุรกิจนั้นสามารถนำบิลที่ได้รับชำระผ่านพร้อมเพย์ได้ทันที ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามาก ในขณะที่ภาคธุรกิจไม่ต้องทำข้อตกลงการรับชำระบิลกับธนาคารแต่ละแห่ง ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้สะดวกและง่ายขึ้น โดยคาดว่าจะนำร่องทดลองใช้งานได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
นายปรีดี กล่าวว่า จากการเปิดบริการพร้อมเพย์มาไม่ถึง 4 เดือน ปริมาณธุรกรรมมีมากกว่าการเปิดให้บริการในบางประเทศในยุโรปมาถึง 2 ปี และที่น่ายินดีก็คือ ในประเทศไทยยังไม่พบลูกค้าร้องเรียนเรื่องความปลอดภัยและความผิดพลาดของระบบพร้อมเพย์เลย ดังนั้นทางสมาคม ฯ จึงเชื่อว่าลูกค้าจะมีความมั่นใจในการใช้บริการเพิ่มมากขึ้น และหวังให้บริการพร้อมเพย์เป็นทั้งบริการและโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยตอบสนองการทำธุรกรรมและชำระเงินที่สะดวกขึ้นทั้งกับประชาชน ผู้ประกอบธุรกิจ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ และด้วยบริการใหม่ ๆ ที่จะออกให้บริการต่อยอดในอนาคต จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ความนิยมใช้งานพร้อมเพย์เพิ่มขึ้นไปด้วย เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการใช้เงินสด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการจัดการเงินสดให้กับประเทศโดยภาพรวม และช่วยสนับสนุนการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ ณ กลางเดือนพฤษภาคม มีผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ เป็นนิติบุคคล จำนวนประมาณ 30,000 รายการเป็นบุคคลธรรมดาจำนวน 28.3 ล้านรายการ ตั้งเป้าหมายสิ้นปี 2560 จะมีผู้สมัครลงทะเบียนพร้อมเพย์ทั้งสิ้นมากกว่า30 ล้านรายการ