กรุงเทพฯ--8 มิ.ย.--การยางแห่งประเทศไทย
กยท. เผยสาเหตุราคายางที่มีการปรับลดลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อม แจงประเด็นกระแสข่าวลือการไม่รับซื้อยางแผ่นในพื้นที่ภาคใต้ ย้ำ ภาคเกษตรกร และสถาบันเกษตรกร เน้นให้ความสำคัญกระบวนการการผลิตยางแผ่นชั้นดี หรือการผลิตยางชนิดอื่นๆ ให้ได้คุณภาพ มาตรฐาน เพราะยางพารายังคงเป็นสินค้าเกษตรที่ตลาดโลกมีความต้องการสูง
ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ให้สัมภาษณ์ว่า "ตลาดซื้อขายยางล่วงหน้าทั้งตลาดโตเกียว (TOCOM) และ ตลาดเซี่ยงไฮ้ (SHEF) ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันที่ลดลง และการคาดการณ์เรื่องสต๊อกยางของประเทศจีน ส่งผลให้ราคายางปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่สำหรับข่าวลือเรื่อง บริษัทยางล้อต่างประเทศจะไม่ซื้อยางแผ่นของไทย เพราะคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ตามที่ได้ตรวจสอบข้อมูลและสอบถามจากผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่าไม่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะทางบริษัทฯ ยังเปิดรับซื้อยางจากเกษตรกรตามปกติ แต่รณรงค์ให้เร่งแก้ไขปัญหายางขาดความยืดหยุ่น ซึ่งอาจพบบ้างจากกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ถูกต้อง เช่นเปิดกรีดในขณะที่ยางอ่อน ใช้สารเร่งน้ำยาง ใช้สารจับตัวที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ หรือ การเจือจางน้ำมากเกินไป เป็นต้น แต่ปัญหานี้พบน้อยมากเมื่อเทียบกับคุณภาพยางในภาพรวม เพราะเมื่อเริ่มฤดูกาลเปิดกรีดใหม่ น้ำยางสดจากการเปิดกรีดในครั้งแรก อาจจะมีสารที่ไม่ใช่ยางสูงขึ้นบ้างเล็กน้อยขึ้นกับสภาพต้นยางที่แตกต่างกัน และน้ำยางสดในช่วงแรกของการเปิด กรีดมีค่าความอ่อนตัวเริ่มแรก แต่ค่าความหนืด (MOONEY) เฉลี่ยมากกว่า 65 ซึ่งก็ยังสูงกว่ามาตรฐานยางแท่งเอสทีอาร์20 ถ้าหากเกษตรกรมีการผลิตยางแผ่นอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ หรือ ตามคำแนะนำ ของฝ่ายวิชาการของ กยท. ก็จะทำให้ได้ยางมีความยืดหยุ่นดี ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูกาลเปิดกรีดยางใหม่ก็ตาม
"ทั้งนี้ จึงขอความร่วมมือจากพี่น้องเกษตรกร และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ให้ความสำคัญกับกระบวนการการผลิตยางแผ่นชั้นดี หรือการผลิตยางชนิดอื่นๆ ให้ได้คุณภาพ มาตรฐาน โดยสามารถรับข้อมูลที่ถูกต้องได้จาก กยท. ทุกสาขาใกล้บ้านท่าน และขอให้ผู้ส่งต่อข้อมูลผ่านเครือข่ายออนไลน์ ใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร โดยไม่ตื่นตระหนกไปกับข่าวการไม่รับซื้อยางดังกล่าว" ดร.ธีธัช กล่าวย้ำ
ด้านนางปรีดิ์เปรม ทัศนกุล นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาง การยางแห่งประเทศไทย เผยว่า ฤดูกาลผลัดใบยางของแต่ละพื้นที่ในประเทศจะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศของพื้นที่นั้น ซึ่งเกษตรกรจะหยุดกรีดประมาณ 2-4 เดือน และเมื่อเริ่มเปิดกรีด น้ำยางสดจากการเปิดกรีดในครั้งแรกอาจมีสารที่ไม่ใช่ยางสูงขึ้นบ้าง ขึ้นอยู่กับสภาพต้นยางที่แตกต่างกันและอาจส่งผลให้น้ำยางเสียสภาพเร็วกว่าปกติได้ ประกอบกับเกษตรกรบางรายผลิตยางแผ่นดิบไม่ตรงตามหลักวิชาการ ทำให้คุณสมบัติทางกายภาพลดลงได้ แต่อย่างไรก็ตาม จากการเก็บข้อมูลการทำยางแผ่นของกลุ่มเกษตรกรในภาคใต้ จำนวน 24 กลุ่ม เป็นเวลา 1 ปี พบว่า น้ำยางสดในช่วงแรกของการเปิดกรีดจะค่าความอ่อนตัวเริ่มแรกหรือค่า PO อยู่ในช่วง 35-40 ค่าความหนืดมูนนี่เฉลี่ยมากกว่า 65 ทั้งนี้ การรักษาสภาพน้ำยางสดเพื่อนำมาใช้ในการผลิตยางแผ่น ต้องทำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการเท่านั้น จากนั้นต้นยางจะเข้าสู่สภาวะปกติเมื่อกรีดยางได้ประมาณ 5-7 วัน
นางปรีดิ์เปรม กว่าเพิ่มเติมว่า ในการทำยางแผ่นดิบโดยทั่วไปของเกษตรกรที่มีสวนยางขนาดเล็ก มักจะผลิตยางในตะกงถาดหรือใช้ตะกงตับ สำหรับสวนขนาดใหญ่หรือเป็นกลุ่มสหกรณ์ที่รวบรวมน้ำยางครั้งละปริมาณมากๆ การเจือจางน้ำและน้ำยางในสัดส่วนที่ถูกต้องเป็นส่วนที่ต้องให้ความสำคัญ รวมทั้งการใช้กรดตามคำแนะนำด้วย ไม่ว่าจะทำยางในตะกงถาดหรือตะกงตับก็ตามจะได้ยางแผ่นที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน ในส่วนยางที่ขาดง่ายไม่สปริง หมายถึงยางขาดความยืดหยุ่น อาจพบบ้างจากกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ถูกต้อง เช่น เปิดกรีดในขณะที่ยางอ่อน ใช้สารเร่งน้ำยาง หรือการไม่ใช้กรดฟอร์มิคในการจับตัว เป็นต้น แต่ปัญหานี้พบน้อยมากเมื่อเทียบกับคุณภาพยางในภาพรวม
"ดังนั้น เกษตรกรอย่าเพิ่งตื่นตระหนักไปกับข่าวเรื่องยางไม่สปริงจนเกิดข่าวลือว่า บริษัทยางล้อจะไม่รับซื้อยางแผ่น เพราะหากเกษตรกรมีการผลิตยางแผ่นอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการหรือตามคำแนะนำ ก็จะทำให้ได้ยางที่มีความยืดหยุ่นดีถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูกาลเปิดกรีดยางใหม่ก็ตาม ซึ่งท่านสามารถศึกษาข้อมูลคำแนะนำการผลิตยางแผ่นชั้นดี หรือการผลิตยางแผ่นชนิดอื่นๆ ให้ได้คุณภาพมาตรฐานได้จาก website ที่ www.raot.co.th" นางปรีดิ์เปรม กล่าวทิ้งท้าย