กรุงเทพฯ--26 มิ.ย.--นานมี
กลุ่มบริษัท นานมี จัดโครงการ "นานมีร่วมสร้างสรรค์ พลังความดีเพื่อพ่อ" ในรูปแบบกิจกรรมทำความดีต่างๆ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 และเป็นอีกหนึ่งพลังในการสืบสานพระราชปณิธาน สร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมที่ดีและน่าอยู่ โดยได้คัดเลือกผู้เป็นแบบอย่างที่สมควรได้รับการยกย่องชื่นชม ได้แก่ นายเรวัตร์ ต๋านะ แชมป์โลกวีลแชร์เรซซิ่ง , รต.ต่วนอัมรัน กูโซะ เจ้าหน้าที่มูลนิธิสายใจไทย อดีตพลทหารที่สูญเสียอวัยวะจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ และนายบุสรี วาแวนิ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งปัจจุบันเป็นนักกีฬาวีลแชร์เทเบิลเทนนิสดาวรุ่งทีมชาติ ซึ่งแม้ทั้งสามท่านเป็นผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย แต่สามารถน้อมนำแนวคิดในรัชกาลที่ 9 มาเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จ กลุ่มบริษัท นานมีจึงให้การช่วยเหลือและสนับสนุนคนดี โดยมอบรถไฟฟ้าเคลื่อนที่ "ฟรีไรเดอร์" ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันและเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำความดีต่อไป
นาง ปรีญาณี สุพุทธิพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท นานมี กล่าวว่า "รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นสัญลักษณ์การทำความดีและทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม กลุ่มบริษัทนานมีจึงอยากให้คนไทยนำแนวความคิดมาเป็นแรงบันดาลใจให้ทำสิ่งดีๆ ซึ่งทางเราได้เห็นว่าบุคคลทั้งสาม แม้ว่าจะเป็นผู้พิการแต่ไม่เคยย่อท้อ ไม่นำความบกพร่องทางร่างกายมาเป็นข้อด้อย กลับมุ่งมั่นทำความดี ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ เต็มกำลังความสามารถ มิใช่เพื่อตนเองเท่านั้น แต่เพื่อคนรอบข้าง สังคม และประเทศชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและถือเป็นแบบอย่างที่น่าภูมิใจ จึงอยากตอบแทนคนดีที่ทำดีให้รู้ว่าสังคมรับรู้ถึงการกระทำนั้นและร่วมภูมิใจไปกับการทำดีนั้น ด้วยการมอบฟรีไรเดอร์ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเคลื่อนที่ ช่วยสร้างความสะดวกสบายในการเคลื่อนไหวแก่คนดีทั้งสามเป็นการให้กำลังใจและทำให้คนดียิ้มได้ค่ะ"
นายเรวัตร์ ต๋านะ นักกีฬาวีลแชร์ทีมชาติไทย ดีกรีแชมป์โลกเหรียญทอง ทำลายสถิติโลก ในการแข่งขันวีลแชร์เรซซิ่งนานาชาติ ประเภท 5,000 เมตร กล่าวว่า "เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ผมเป็นเด็กมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชินี เมื่อครั้งท่านเสด็จฯเยี่ยมราษฎรที่ดอยอ่างขางซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดารในสมัยนั้น ผมเป็นเด็กดอยซึ่งมีความพิการได้รับความเมตตาให้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์ รู้สึกเป็นบุญอย่างที่สุดในชีวิตและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้เสมอมา ผมได้ยึดถือท่านเป็นแบบอย่างตั้งแต่นั้น ไม่เคยย่อท้อกับความพิการ เสมือนท่านได้ให้ชีวิตใหม่กับผม ทำให้มีแรงกายแรงใจที่จะทำความดี ทุกครั้งที่ผมไปแข่งในต่างประเทศ ผมมีท่านอยู่ในหัวใจเสมอ ล่าสุดไปแข่งขันที่สวิตเซอร์แลนด์ ตั้งใจมากว่าต้องทำอย่างเต็มที่อยากได้แชมป์ที่ประเทศนี้ เพราะเป็นประเทศที่รัชกาลที่ 9 ทรงประทับเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ และเมื่อทำสำเร็จสามารถคว้าแชมป์โลกโดยทำลายสถิติ รู้สึกซาบซึ้งใจว่าเป็นเพราะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้ ผมดีใจที่มีหลายๆคนเห็นในความดีที่ผมทำ มอบฟรีไรเดอร์ให้ผมเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าชีวิตมีค่าและตั้งใจทำความดีต่อไปเรื่อยๆในทุกๆวันครับ"
รต.ต่วนอัมรัน กรูโซ๊ะ เจ้าหน้าที่มูลนิธิสายใจไทย เล่าว่า "ตลอดชีวิตผมเห็นรัชกาลที่ 9 ทรงงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่เด็กผมมุ่งมั่นอยากรับใช้ ชาติ ศาสตร์ กษัตริย์ เมื่อครั้งเป็นพลทหารประจำที่ 5 จ.ยะลา ก็ปฏิบัติภารกิจอย่างอดทนและเข้มแข็ง จนเมื่อต้องสูญเสียอวัยวะจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ในวันแห่งการสูญเสียนั้นกลับได้รับโอกาสและกำลังใจดีๆมากมาย ตอนพักรักษาตัวนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมทหารผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ทรงรับสั่งกำลังใจและให้ผู้ใหญ่ช่วยเหลือจนได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิสายใจไทย ในแผนกเพ้นท์งานศิลปะบนเครื่องใช้ ในครั้งแรกงานฝีมือเป็นเรื่องที่ยากมากๆจนผมท้อเลยแต่รัชกาลที่ 9 ท่านทรงมีพระราชดำรัสสอนไว้ว่าเมื่อมีงานทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไข ยิ่งมีความขยันเอาใจใส่ ซื่อสัตย์สุจริต ก็จะช่วยให้ประสบผลสำเร็จ จนวันนี้ผมมีงานที่ดีทำ มีอาชีพมีรายได้แม้ไม่มากมาย แต่ก็ดำรงเลี้ยงชีพได้อย่างมีคุณภาพ โดยยึดหลักความพอเพียง ทำให้ชีวิตผู้พิการอย่างผมได้มีความสุขในชีวิต และวันนี้ได้รับฟรีไรเดอร์ไปใช้ในชีวิตประจำวันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น อยากฝากถึงผู้พิการอื่นๆว่าแม้ร่างกายพิการแต่อย่านำมาเป็นข้ออ้างที่จะละเลยในการทำความดี เพราะท้ายสุดแล้วความดีจะตอบสนองผู้ที่ทำดีเสมอครับ"
นายบุสรี วาเวนิ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักกีฬาวีลแชร์เทเบิลเทนนิสดาวรุ่งทีมชาติ กล่าวว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องรอให้มีความพร้อม ทุกคนสามารถทำได้ทันที และเป็นเรื่องง่ายใกล้ๆตัว เช่นการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ที่ผ่านมาผมเองเคยมีร่างกายที่เป็นปกติ แต่เมื่อวันนึงเกิดเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียขาไป แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคให้ชีวิตผมต้องหยุดชะงัก เมื่อเรามีความมุ่งมั่นและมีความพากเพียรพยายามอย่างที่รัชกาลที่ 9 ท่านทรงเป็นแบบอย่าง ผมเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้าย และกลับมาเข้มแข็งมีแรงกายแรงใจที่จะสานต่อทำความดี ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความสดใสก้าวหน้าต่อไปครับ"