กรุงเทพฯ--3 ก.ค.--บีโอไอ
บีโอไอนำคณะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย 35 ราย สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ลงพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอ.แม่สอด จ.ตาก พร้อมศึกษาเส้นทางโลจิสติกส์ ไทย เมียนมา และอินเดีย มั่นใจปูทางโอกาสขยายตลาดเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน
นายเจษฎา ศรศึก ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไออยู่ระหว่างเดินหน้าตามแผนงานส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้มีโอกาสสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และสามารถต่อยอดธุรกิจไปสู่การผลิตซึ่งรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่สอดคล้องกับนโยบาย "ประเทศไทย 4.0" ของรัฐบาล
ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 17-21 กรกฎาคม 2560 บีโอไอจะนำคณะเอสเอ็มอี จำนวน 35 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ ในกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป สิ่งทอ พลาสติก และวัสดุก่อสร้าง ร่วมเดินทางไปจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงธุรกิจกับผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี จ.กำแพงเพชร เช่น บริษัท ไทยเอ็นเนอร์ยี่คอนเซอร์เวชั่น จำกัด ผู้ผลิตอุปกรณ์พลังงานและระบบบำบัดน้ำเสียให้กับอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม บริษัท โหย่ง จิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังจะได้เข้าสำรวจพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อ.แม่สอด จ.ตาก และรับฟังบรรยายสรุปภาวะการค้าชายแดน และความคืบหน้าในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
นายเจษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะเอสเอ็มอี จะได้เข้าไปศึกษาศักยภาพเศรษฐกิจการค้าการลงทุนของจังหวัดเมียวดี ในสหภาพเมียนมา และสำรวจเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมระหว่าง อ.แม่สอด ของประเทศไทย ไปยังประเทศเมียนมา และอินเดีย ซึ่งเป็นเส้นทางที่รัฐบาลของแต่ละประเทศให้ความสำคัญ และคาดการณ์ว่า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะเป็นเส้นทางเชื่อม 3 ประเทศ และสนับสนุนนโยบาย "มองตะวันออก" (Look East Policy) ของอินเดีย ที่ต้องการเข้ามาค้าขายและลงทุนในไทยและอาเซียน ในขณะที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาค และได้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้เพื่อขยายการค้า การลงทุนไปยังเมียนมาและอินเดียและเชื่อมต่อไปยังตะวันออกกลางต่อไป
"กิจกรรมครั้งนี้ จะทำให้เอสเอ็มอีไทยได้ลงพื้นที่จริงเพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนและขยายตลาดสินค้าเพื่อรองรับการพัฒนาของทั้ง 3 ประเทศ ซึ่งปัจจุบันสินค้าไทยมีโอกาสค่อนข้างมาก เนื่องจากประชากรของเมียนมาและอินเดียมีความนิยมสินค้าไทย ทั้งด้านคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผล โดยเมื่อโครงการก่อสร้างเส้นทางดังกล่าวแล้วเสร็จ ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า มั่นใจจะทำให้เอสเอ็มอีไทยขยายตลาดและวางแผนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมได้อีกมาก" นายเจษฎา กล่าว