กรุงเทพฯ--3 ก.ค.--IR PLUS
HTECH ประกาศข่าวดี ย้ายเข้าซื้อขายใน SET ตั้งแต่ 3 ก.ค. นี้ เป็นต้นไป มั่นใจ ดึงดูดนักลงทุนและกองทุนรุมจีบเพิ่ม ด้าน "พีท ริมชลา" แม่ทัพใหญ่ เผย มุ่งมั่นขยายกิจการ ตอกย้ำผู้นำในสินค้า Cutting Tools ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รุกสินค้า High-end โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟและยานยนต์ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ขณะที่โรงงานใหม่เดินหน้าตามแผน คาดเริ่มผลิตไตรมาส 4/60 ดันผลงานครึ่งปีหลังแรงกว่าครึ่งปีแรก มั่นใจทำรายได้ทั้งปีเข้าเป้าที่ตั้งไว้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
นายพีท ริมชลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HTECH ผู้ประกอบธุรกิจผลิต รับจ้างผลิต และจำหน่ายเครื่องมือตัดเฉือนโลหะรายใหญ่ในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการอนุมัติ ให้หลักทรัพย์จดทะเบียนของ HTECH ย้ายเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร และยังคงใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า HTECH ตามเดิม มีผลตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไป
สาเหตุเนื่องจากบริษัทฯ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอันที่จะย้ายเข้าไปซื้อขายใน SET โดยมีทุนจดทะเบียน 300,000,340 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รวม 300,000,340 บาท การย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งนี้ เชื่อว่าจะสะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทฯ และศักยภาพในการขยายตัวของธุรกิจ ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มสถาบันให้เข้ามาลงทุนในหุ้น HTECH เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยสนับสนุนให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย จากที่ผ่านมา HTECH ได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์ นักลงทุนรวมถึงกองทุนต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
ทั้งนี้ HTECH เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2552 โดยมุ่งมั่นในขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีสำนักงานใหญ่และโรงงานอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน มีนบุรี และได้ขยายการเติบโต ตั้งโรงงานแห่งที่ 2 ในฟิลิปปินส์ และจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศต่าง ๆ ทั้งในไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม จนครอบคลุมตลาดทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ มีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง ทำรายได้จากกว่า 200 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 826 ล้านบาทในปี 2559 และล่าสุดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ลงทุนก่อสร้างโรงงานใหม่อีกแห่งหนึ่ง เพื่อขยายกำลังการผลิต รองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในส่วนของสินค้าที่เป็น High-end ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการบริหารด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี ส่งผลให้ผลให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนไว้วางใจ HTECH ด้วยดีเสมอมา
นายพีท กล่าวต่อว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/60 มีแนวโน้มเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/60 จากภาพรวมตลาดอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาฟื้นตัว สนับสนุนสินค้ากลุ่ม High-end ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงมากกว่ากลุ่มสินค้าเดิม ได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้นำด้าน Cutting Tools ของประเทศไทยในสินค้ากลุ่มดังกล่าว
ขณะที่สินค้ากลุ่มยานยนต์ สามารถเจาะตลาดได้เพิ่มขึ้น มีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่า หลังแผนการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่แล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3/60 และคาดว่าจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/60 จะสนับสนุนกำลังการผลิตให้กับบริษัทฯ เพิ่มอีก 30-40% ในส่วนของบริษัทใหญ่เมื่อผลิตเต็มกำลัง รองรับคำสั่งซื้อสินค้ากลุ่มเดิมและสินค้ากลุ่ม High-end ของบริษัทฯ ได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 6 ปีอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้ประกาศตั้งบริษัทย่อย บริษัท แฮลเซี่ยน ทูลส์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท เพื่อขยายช่องทางจำหน่ายในภูมิภาคตะวันออก และบริเวณใกล้เคียง เพิ่มความคล่องตัวในการบริการลูกค้า โดยมีกลุ่มเป้าหมายลูกค้าหลักอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงในภูมิภาคดังกล่าว
ขณะที่ แผนการลงทุนโรงงานผลิตเครื่องมือตัดเฉือนโลหะ (Cutting Tools) ในประเทศเวียดนาม อยู่ระหว่างดำเนินการตามข้อกฎหมายของประเทศดังกล่าว แต่ยังมั่นใจว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ภายในช่วงไตรมาส 3/60 ตามแผนเดิมที่วางไว้ เป็นอีกสัญญาณบวกสนับสนุนภาพรวมธุรกิจปีนี้ เชื่อว่าจะสามารถทำนิวไฮต่อเนื่องจากปีก่อนได้ ยืนยัน เป้าหมายรายได้ปี 2560 เติบโตโดยรวมไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 826 ล้านบาท
"ปี 2560 นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ HTECH ในการสยายปีกเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยภาพรวมธุรกิจปีนี้ยังคงโดดเด่นได้ตามแผนงานที่บริษัทฯ วางไว้ โดยแนวโน้มผลงานไตรมาส 2/60 จะเติบโตกว่าไตรมาสแรกของปีนี้ อีกทั้ง ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังจะโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก จากออเดอร์ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และรับผลบวกเต็มๆ ในไตรมาส 4/60 รับผลบวกเต็มที่จากกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่จะเข้ามา" นายพีทกล่าว