คำกล่าวของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการให้นโยบายต่อหัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภาคเหนือ

ข่าวทั่วไป Wednesday October 31, 2001 07:16 —ThaiPR.net

คำกล่าวของ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในการให้นโยบายต่อหัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภาคเหนือ
ณ โรงแรมดิ เอ็มเพรส จ.เชียงใหม่
31 ตุลาคม 2545
___________________
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้มาประชุมอย่างพร้อมเพรียง ผมถือว่าพวกเราเป็นพี่น้อง เป็นผู้ร่วมงาน วันนี้ตั้งใจโดยเฉพาะ ด้วยวัตถุประสงค์ 2 อย่าง 1. คือรายงานให้ท่านทราบถึงความคืบหน้าของกระทรวงการคลังที่ได้ทำงานไป และนโยบายของกระทรวงการคลังในอนาคตข้างหน้า 2. มาเพื่อรับทราบปัญหาอุปสรรคที่ท่านพบอยู่ เพราะถ้าท่านมีอุปสรรคแล้วเราไม่ทราบการทำงานจะติดขัด ฉะนั้นมีอะไรก็ขอให้ระบายออกมา แล้วเราจะทำงานเป็นทีม
ผมใคร่ขอใช้โอกาสนี้แนะนำทีมผู้บริหารทีมใหม่ ท่านปลัดกระทรวงการคลังคงไม่ต้องแนะนำรู้จักอยู่แล้ว ท่านอธิบดีกรมสรรพากรท่านต้องไปงานกฐินพระราชทาน ท่านอธิบดีกรมสรรพสามิต ท่านสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ท่านอธิบดีกรมศุลกากร ท่านชวลิต เศรษฐเมธีกุล ทั้ง 2 ท่านนี้เป็นกำลังสำคัญที่จะประกอบหน้าที่ให้กับผมในทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวข้อง ท่านที่ปรึกษาผมท่านสมพลฯ ท่านอดีตปลัดกระทรวงการคลัง
ผมขอสรุปง่าย ๆ ในสิ่งที่เราทำลงไปเมื่อปีเศษที่ผ่านมา ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนพวกท่านเพราะไม่มีเวลาเลย เมื่อตอนที่เราเข้ามาเศรษฐกิจเมืองไทยย่ำแย่ ปัญหาใหญ่ในขณะนั้น 1. ความเชื่อมั่นในประเทศไม่มีเลย 2. เรื่องเศรษฐกิจที่เริ่มถดถอยค่อนข้างรุนแรงแต่เราไม่เคยให้ข่าว คือช่วงที่เกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน ตอนที่เครื่องบินชนตึก แต่แม้กระนั้นเราก็ได้พยายามผลักดันวงการหลาย ๆ วงการ กลุ่มงานที่เราทำไปในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา ผมสรุปได้เป็น 3 กลุ่มกลุ่มที่หนึ่ง คือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ กลุ่มนี้สำคัญมากเพราะถ้าเราไม่สามารถกระตุ้นได้เศรษฐกิจกำลังหดตัวค่อนข้างรุนแรง เราเน้นไปที่รากหญ้า กระทรวงการคลังผลักดันเรื่องกองทุนหมู่บ้าน การพักหนี้เกษตรกรโดย ธ.ก.ส. ธนาคารประชาชนโดยออมสิน จากนั้นเราก็พยายามประสานงานกับพรรคพวกในภาคธุรกิจในเรื่องของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จนกระทั่งอสังหาริมทรัพย์ซึ่งแต่เดิมนั้นแทบจะตายไปทั้งหมด ก็สามารถกลับฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ได้ร่วมมือกับทางการท่องเที่ยวฯ ผลักดันให้การท่องเที่ยวซึ่งขณะนั้นน่าเป็นห่วงมากเพราะว่ามีเหตุการณ์หลัง 11 กันยายน แต่เราสามารถพลิกจากวิกฤติมาเป็นโอกาส การเติบโตของการท่องเที่ยวทั้งปีเฉลี่ยแล้วประมาณ 6% เติบโตในขณะที่ประเทศอื่นติดลบ ก็เลยมีผลทำให้ความเชื่อมั่นเกิดขึ้นมาสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อความเชื่อมั่นเกิดขึ้นมา GDP เติบโตขึ้นมาจากประมาณ 1.8% โดยเฉลี่ยปีที่แล้วมาเป็น 3.9% ในไตรมาสที่ 1 ในปีนี้ และก็ประมาณ 5.1% ในไตรมาสที่ 2 คาดว่าในไตรมาสที่ 3 ก็คงไม่ต่ำกว่าไตรมาสที่ 2 เพราะตัวเลขทุกอย่างค่อนข้างดีทีเดียว ในขณะนี้ผมกล้าพูดเลยได้ว่าในไตรมาส 3 คงจะอยู่ประมาณ 5% เป็นอย่างน้อยแน่นอน ไตรมาสที่ 4 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โลกว่าจะรุนแรงแค่ไหน แต่ในประเทศตอนนี้ Momentum อยู่ตัว ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้เราก็เริ่มสู่กิจกรรมกลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 2 ก็คือการเดินทางไปสร้างความเชื่อมั่นในต่างประเทศ ก่อนหน้านี้เราไปไม่ได้พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะเห็นเศรษฐกิจเรากำลังย่ำแย่ ฉะนั้นเราก็เริ่มเดินทางไปจีนและญี่ปุ่น และก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จกลับคืนมา เรื่อง บสท. เรื่องการแก้หนี้ FIDF ทุกอย่างทำให้ต่างประเทศเริ่มมีความเชื่อมั่นอีกครั้งหนึ่งกับประเทศไทย
กลุ่มที่ 3 ก็คือกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูป ผมบอกได้เลยว่าการเติบโตของประเทศไทยในอนาคตข้างหน้าไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่า GDP ปีนี้ท่าไหร่ อนาคตข้างหน้านั้นใหญ่หลวง ประเทศไทยเราค่อนข้างจะล้าหลังเมื่อเทียบกับการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับความผันผวนของโลกข้างหน้า งานนี้ไม่เบา ผมเรียนให้ทราบเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน ถ้าเราไม่สามารถปฏิรูปตัวเองให้แข็งแรง ทันสมัย เราจะสู้เพื่อนบ้านหรือประเทศที่เขาพัฒนาแล้วไม่ได้ ปี 2010 ที่จะมาถึงนี้ เซี่ยงไฮ้พยายามขอเป็นเจ้าภาพ Expo กรุงโซล เกาหลีใต้ ก็พยายามเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Expo มอสโกก็พยายามเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Expo เกือบทุกคนต่างถือเอาปี 2010 เป็นรั้วที่จะชี้ว่าใครกระโดดข้ามไปได้แล้วจะขึ้นมาสู่อีกระดับหนึ่งของโลก ในขณะที่เมืองไทยนั้นขาข้างหนึ่งถูกฉุดด้วยวิกฤติเศรษฐกิจ อีกข้างหนึ่งก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโลกข้างหน้า ฉะนั้นเราต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ไทยเราสามารถอยู่ระนาบเดียวกับคู่แข่งขันของเราได้ นี่คือเรื่องของการปฏิรูป เราเริ่มจากการปฏิรูปตลาดทุน ตลาดเงิน และระบบราชการ การปฏิรูประบบราชการถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่การปฏิรูปราชการไม่ใช่แค่เปลี่ยนโครงสร้างแล้วจบ โครงสร้างก็เหมือนเสื้อผ้า ตัดเสื้อผ้าให้มันฟิตกับอนาคตข้างหน้า แต่สำคัญก็คือจิตใจและมันสมองที่จะทำงาน
กระทรวงการคลังเป็นกระทรวงแรกตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้ว (14 ตุลาคม 2545) มีการประชุมเป็นครั้งแรก โดยที่ผมเริ่มกล่าวนำถึงทิศทางของเศรษฐกิจ จากนั้นจึงได้ขอให้ท่านรองปลัดกระทรวงการคลัง ท่านอุทิศ ธรรมวาทิน ซึ่งเป็นผู้ที่คุม Cluster ทั้งหมดในเรื่องของการจัดเก็บรายได้ และท่านอธิบดีแต่ละท่านมากล่าวนำถึงสิ่งที่เขาจะทำให้สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่เราวางไว้ นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของกระทรวงการคลังที่ผมจะเริ่มให้ท่านปลัด ท่านรองปลัดที่คุม Cluster ท่านอธิบดีออกมาบอกว่าจะทำอะไร เป็นการสัญญาต่อประชาชน สัญญาต่อเพื่อนร่วมงาน และผมจะสนับสนุนเต็มที่ เจ้านายมีหน้าที่สนับสนุนลูกน้อง เจ้านายไม่มีหน้าที่เอาความชอบ สิ่งที่ทำได้ลูกน้องรับไป เจ้านายไม่ต้องรับ ฉะนั้นอธิบดีทุกท่านก็ได้มาพูดว่าจะทำงานกันอย่างไร ผมถึงได้บอกปลัดว่าเอาวิดีโอมาฉายให้พวกท่านดู จะได้รู้ร่วมกันว่าเราจะทำอะไรในอนาคตข้างหน้าในการประชุมวันนั้น ผมได้บอกว่าผลงานทั้งหมดของรัฐบาลชุดนี้อยู่ภายใต้การนำของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และกระทรวงการคลังเป็นส่วนที่ท่านจะต้องภูมิใจ เพราะเรามีส่วนร่วมอยู่ด้วยไม่น้อยเลย ถือเป็นผลงานของกระทรวงการคลังทั้งกระทรวง และจากวันนี้เป็นต้นไป ผมได้ระบุขอบเขตที่กระทรวงการคลังจะพยายามทำ
ประเด็นที่ 1 คือประเด็นที่ว่าด้วยการสร้างวินัยการคลัง การสร้างวินัยการคลังหมายความว่าทั้งในเชิงของรายรับ รายจ่าย ต่างประเทศจะเชื่อมั่นในตัวเราเขาจะดูที่วินัยการคลัง ดูว่าการคลังของประเทศจะสามารถยั่งยืนได้หรือไม่ ปีครึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครทราบ ผมต้องรับแรงกดดันสูงมากจากสถาบันต่างประเทศ ไม่ว่า IMF ไม่ว่า World Bank ไม่ว่า Rating Agency ทั้งหลาย เวลาเขาเข้ามาหาเรา เขามองเราว่าเป็นลูกหนี้ที่มีปัญหา แต่เราพลิกกลับ เวลาเราเจรจากับเจ้าหนี้ บอกว่าถ้าคุณมีลูกค้ามาขอสินเชื่อจากธนาคาร ลูกค้ามีปัญหาเรื่องของหนี้สิน ลูกค้ามีหน้าที่ต้องชี้ให้เจ้าหนี้ทราบว่าอนาคตข้างหน้าประเทศจะพลิกฟื้นอย่างไร เรามีรายได้อย่างนี้ ฉะนั้นเรื่องหนี้สินเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย เราสามารถจัดส่งให้ได้ ก็เหมือนกับเป็นการกางเอา Balance sheet งบการเงินของประเทศมาให้เขาดูว่าเรื่องหนี้สินเหล่านั้นไม่เป็นปัญหาเลยเมื่อเทียบกับศักยภาพของประเทศไทยหลังจากที่เราพยายามเคลียร์ทีละประเด็น วันนี้ผู้แทน IMF เหมือนกับเป็นเพื่อนของเรา การเจรจากับ IMF ไม่ต้องมานั่งรายงาน เรียกมาคุยกันได้เลย Rating Agency ปรับพวกเราจากการเป็นแค่ Stable เสถียรภาพ ขึ้นมาเป็น Positive เป็นบวก หมายความว่าแนวโน้มดีขึ้น วันนี้ต่างชาติเชื่อมั่นก็เพราะว่าเราเริ่มมีวินัยการคลัง เราพยายามกดดันรายจ่าย การกู้หนี้ไม่ให้มีสูงขึ้น ที่ผ่านมาปีครึ่งท่านถามปลัดของท่านได้เลย เพดานบิน 1,000 ล้านเหรียญ หรือ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐที่ก่อหนี้ได้ เราตัดมาเหลือไม่เกิน 1,000 ล้านเหรียญ จาก 1,000 ล้านเหรียญก็ไม่ได้หมายความว่าไปถึง 1,000 ล้านเหรียญ โครงการไม่จำเป็นโยนทิ้งลงตะกร้าไปเยอะแล้ว ฉะนั้นเรื่องของรายจ่ายเราดูแล
รัฐวิสาหกิจจากนี้เป็นต้นไปจะไม่มีการนั่งหลบอยู่ข้างหลัง ต้องรายงานสถานการณ์เงินทุกเดือน ทุกไตรมาส คนที่ไม่สามารถบริหารรัฐวิสาหกิจได้ปีหน้าไปแน่ หรืออาจจะไปเร็วก่อนปีหน้า เพราะว่าหนี้สินของรัฐวิสาหกิจเป็นล้านล้านบาท ฉะนั้นรัฐวิสาหกิจก็เป็นอีกแรงหนึ่งที่มาช่วยกระทรวงการคลัง
เรื่องรายรับของกระทรวงการคลังเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องการทำให้การเก็บภาษีกว้าง ยุติธรรม สำคัญมาก และจะต้องพยายามให้เอาระบบภาษีของคนที่อยู่นอกระบบเข้าสู่ระบบ อันนี้เพื่อให้มีฐานภาษีที่เบา กว้าง และมีประสิทธิภาพ พรุ่งนี้เราจะมาพูดเรื่องภาษีกัน ถ้าเราสามารถสร้างวินัยการคลังได้ ความมั่นใจก็จะมี
กลุ่มที่ 2 ที่เราต้องการเน้นก็คือว่าให้กระทรวงการคลังเป็นฐาน ๆ หนึ่งในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนในชนบทระดับรากหญ้า ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ที่ ธ.ก.ส. บอย. ออมสิน กรุงไทย ให้ความสำคัญกับชนบทเท่ากับในยุคปัจจุบัน เมื่อเราเข้ามาเริ่มแรกปีครึ่งที่ผ่านมาแต่ละธนาคารไม่ค่อยยอมปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งธนาคารรัฐด้วย เพราะว่าต่างคนต่างกางร่มปกป้องตัวเอง แต่ว่าประเทศย่ำแย่ เมื่อเราเข้ามา ได้มีการขอร้องให้ธนาคารของรัฐช่วยก่อน เราจะไปบีบให้เอกชนมาช่วยเราคงยาก ฉะนั้นธนาคารของรัฐด้วยความร่วมมือของทุก ๆ คน ก็เริ่มก้าวเข้าไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจ ปล่อยสินเชื่อสู่รากหญ้า อันนี้ผมถือว่าเป็นบุญกุศลอย่างแรงที่ทุก ๆ คนที่ร่วมงานกันจะได้รับ เรื่องนี้เราจะใช้ฐานกระทรวงการคลังเป็นตัวไปช่วยพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้แข็งแรง
เมื่อวานนี้ผมไปร่วมงานกับกลุ่ม NGO ประมาณร้อยกว่าคนของอาจารย์หมอประเวศฯ เราบอกเขาว่าเมื่อวานนี้ธนาคารกรุงไทยได้ออกโครงการธนาคารเพื่อชุมชนแล้ว อันนี้จะเข้าไปสู่วิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ อย่างช้าเดือนมีนาคม 2546 จะมีการนำร่องเดือนหน้า เรากำลังเปลี่ยนคณะกรรมการหมู่บ้านให้เป็นนิติบุคคล เพื่อที่จะสามารถปล่อยสินเชื่อในวิสาหกิจชุมชน แต่การปล่อยสินเชื่อเหล่านั้นจะต้องไม่ใช่เพียงแค่การให้เงิน ให้เงินนั้นเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่ในธนาคารต้องมีทีมงานทีมหนึ่งไปช่วยพัฒนาเขา ให้องค์กรชุมชนเข้มแข็ง เมื่อเข้มแข็งแล้วค่อยปล่อยสินเชื่อ การปล่อยสินเชื่อปล่อยทั้งบุคคลธรรมดาและปล่อยสู่องค์กรชุมชน เพื่อให้องค์กรชุมชนสามารถไปปล่อยอีกทอดหนึ่ง ฉะนั้นการพัฒนาและการปล่อยสินเชื่อจะควบคู่ไปด้วยกัน นั่นคือสิ่งที่ 2 ที่เราจะทำ ผมได้บอกให้ 3 ธนาคาร บอย. ธ.ก.ส. และออมสิน ทำ Package ร่วมกัน จะนำเสนอผมประมาณอาทิตย์หน้า เป็น Package ร่วมกันที่จะเข้าไปสู่ฐาน ในต่างจังหวัดพร้อมเพรียงกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ โดยผมจะพยายามไปดึงผู้ว่าฯ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละภาค แล้วมานั่งคุยกัน พัฒนาท้องถิ่นร่วมกัน อันนี้จะเป็นตัวที่ไปสู่การเสริมฐานราก
กลุ่มงานที่ 3 คือเรื่องการสร้างความเข้มแข็งของประเทศในการแข่งขันกับชาวบ้านเขา ตรงนี้ศุลกากร สรรพากร จะมีบทบาทสูงมาก อะไรที่เกี่ยวข้องกับเรา ทั้งในเชิงของระเบียบเอกสาร ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ความโปร่งใส ความรวดเร็ว ตรงนี้ ท่านชวลิตฯ ท่านสถิตย์ฯ ท่านศุภรัตน์ฯ ควบคุมโดยท่านอุทิศฯ จะต้องเป็นกลุ่มงานที่ผลักดันสิ่งเหล่านี้ออกมาให้ได้ เราไม่ต้องการให้คนมาบ่นว่ากระทรวงการคลังขั้นตอนเยอะ เอกสารเยอะ เราจะบอกว่าเราจะพยายามให้มีบริการที่รวดเร็ว พบปะพูดคุยกับเอกชนให้เข้าใจ ในขณะเดียวกันเราก็ขอให้เอกชนร่วมมือ ไม่ใช่บ่นอย่างเดียว ท่านบ่นอย่างเดียวไม่ได้ ท่านต้องช่วยรัฐบาลด้วย ฉะนั้นผมเองเพื่อนฝูงเยอะ อยู่ในสภาหอการค้าฯ อยู่ในสภาอุตสาหกรรมไทย เรื่องนี้จะไม่ใช่ปัญหา เมื่อเช้านี้เราทานข้าวร่วมกัน นี่คือกลุ่มที่ว่าจะทำอย่างไรให้เมืองไทยแข็งแรงขึ้นมา แข่งขันได้ บสท. อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ที่รวดเร็วขึ้น Case รายใหญ่เริ่มเข้ามาแล้ว
กลุ่มที่ 4 คือการสร้างความเข้มแข็งให้ระบบการเงินการธนาคารของประเทศ ขณะนี้มีการ Consolidate แบงก์และจะมีอื่น ๆ ตามมาในอนาคตข้างหน้า แต่ข้อสุดท้ายที่ผมพยายามย้ำเตือน ก็คือว่าการพัฒนาระบบงาน ทัศนคติ ของคนที่ทำงานในกระทรวงการคลัง ผมได้บอกทีมผู้บริหารว่าที่ผ่านไปให้เป็นอดีต คนทำงานดีก็เยอะ คนทำงานไม่ดีก็เยอะ แต่จากวันนี้เป็นต้นไปเราจะมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งทำให้ดี ให้กระทรวงการคลังเป็นหลักของประเทศ การพัฒนาคนในกระทรวงการคลังจะต้องเกิดขึ้นมา ต้องเข้าไปร่วมพัฒนาไม่ใช่เก็บภาษีอย่างเดียว เราจะเก็บภาษีได้เขาต้องเข้มแข็ง ถ้าเขาไม่เข้มแข็งเราก็เก็บภาษีเขาไม่ได้ ฉะนั้นหน้าที่ของข้าราชการต้องไม่ใช่ข้าราชการ แต่เป็นนักพัฒนาที่เข้าไปพูดคุยกับเขา ทำอันนี้ขึ้นมา ดึงเขาเข้ามาในระบบ อย่าไปข่มขู่เขา ชักชวนเข้ามา มันต้องมีทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน แต่สำคัญคือเราอย่าทำตัวเป็นเจ้านาย นี่คือกลุ่มที่ผมต้องการสร้างประสิทธิภาพ ระบบงานที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ แล้วก็ความโปร่งใส การคอร์รัปชั่น ถ้าเจอเมื่อไรก็คือไปเมื่อนั้น อันนี้แน่นอน
ทั้งหมดนี้ พอมาดูถึงภาคเหนือ ผมเลือกภาคเหนือก่อน เพราะอนาคตผมเชื่อว่าภาคเหนือโตเร็ว แรงมาก ที่ผ่านมา GDP ภาคเหนือไม่สูง อยู่อันดับที่ 4 ของประเทศ การจัดเก็บภาษีก็ได้เหมือนกัน แต่ไม่สูงที่สุดในประเทศ แต่มองไปข้างหน้าศักยภาพมหาศาลมาก เกษตรแปรรูป การท่องเที่ยว การค้า Retail สูงมาก ที่สำคัญคือเชื่อมโยง GMS (Greater Mekong Subregion) กับจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนตะวันตก ไม่ใช่จีนเซี่ยงไฮ้ ขณะนี้งบประมาณเขาทุ่มไปที่จีนตะวันตก อีกหน่อยไล่ลงมาถึง GMS ลุ่มแม่น้ำโขง ไล่มาถึงประเทศไทยภาคเหนือ คนที่จะรับผลบุญนี้คือภาคเหนือทั้งภาค ฉะนั้นในซีกหนึ่งถ้ารัฐบาลสามารถประสานยุทธศาสตร์ภาคเหนือได้
กระทรวงการคลังต้องรีบเข้ามา Tap ตรงนี้ก่อน คือคิดเสียก่อนว่าจะทำอย่างไรที่จะไปช่วยนักธุรกิจ ช่วยชุมชนพัฒนาขึ้นมา รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง ทุกกรม ต้องคิดในเชิงนี้ ที่ราชพัสดุทั้งหลายมีเต็มในภาคเหนือจะทำอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นต้องเริ่มคิดสิ่งเหล่านี้ออกมา ผมมองว่าภาคเหนือนั้นมีศักยภาพ สี่ปีที่ผ่านมามีวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ภาคเหนือเพียงภาคเดียวที่ได้รับผลกระทบน้อยมาก แสดงว่าศักยภาพของภาคเหนือมี Cushion มีสิ่งที่กรองจากโลกาภิวัตน์ค่อนข้างดีทีเดียว คือสามารถยืนอยู่บนขาตัวเอง วันนี้เป็นวันเริ่มต้น ท่านจงเดินเข้าไปรู้จักกับหอการค้า รู้จักกับธุรกิจ รู้จักกับองค์กรชุมชน ธนาคารสาขาของรัฐทั้งหลายผมจะเรียกประชุมอีกครั้งหนึ่ง มีหน้าที่เข้าไปพัฒนา ไม่ใช่ปล่อยสินเชื่อ พัฒนาแล้วค่อยปล่อยสินเชื่อตามไปทีหลัง นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะเห็นในอนาคตข้างหน้า
สิ่งที่ 2 ที่อยากจะเห็นก็คือวิธีการทำงาน ผมขอร้องเลยว่าเราต้องคิดเชิงธุรกิจ ให้ก่อน ที่จะรับภาษี หลายคนทีเดียวที่เขาอยู่นอกระบบ ต้องใช้ความพยายามที่จะดึงเขาเข้าระบบ บอกเขาเลยว่าไม่มีการคิดย้อนหลัง ขอให้เข้าระบบ ให้เขามั่นใจ หลายสิ่งหลายอย่างที่ประชาชนยังไม่เข้าใจในระบบภาษี ก็จงให้ความรู้แก่เขา อย่าให้หนังสือพิมพ์ด่ามาแล้วค่อยมาแก้ไข มีนักธุรกิจหลายคนเขามาบ่นว่าบางทีเขาไม่เข้าใจ แต่เราเอาความไม่เข้าใจของเขาเหล่านั้นไปทุบตีเขา อย่างนี้อย่าให้เกิดขึ้น หน้าที่เราคือไปช่วยเหลือเขาให้เขาเสียภาษีให้เรา
ข้อที่ 3 ต้องอย่าให้มีเรื่องความไม่โปร่งใสเกิดขึ้น การเรียกคืนภาษี การเรียกคืน VAT การชดเชย ทุกอย่างต้องตรงไปตรงมา อย่าให้มีการข่มขู่ อย่าให้มีการเรียกร้อง จับได้ออกทันที ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ผมไม่พูดถึงอดีต อนาคตมาช่วยกัน เราถือว่าเราเป็นทีมงานทีมเดียวกัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเราโตมากับท้องถิ่น โตขึ้นมากับประชาชน โตขึ้นมากับธุรกิจ เมื่อภาคเหนือเจริญ เชื่อเถอะครับว่าภาคเหนือเจริญแน่นอน ถ้าท่านวางฐาน ณ บัดนี้ ท่านจะเป็นส่วนหนึ่งของภาคเหนือทั้งภาค ท่านจะมีการเก็บภาษีที่มากขึ้น และถ้าท่านมีการปรับปรุง Efficiency ในระบบงาน อีกหน่อยคนเสียภาษีผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ทุกอย่างจะมีประสิทธิภาพ เร็ว กระบวนการทุกอย่างของมันก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ผมจึงเลือกภาคเหนือมา แล้วก็มาเริ่มจากวันนี้เพื่อบอกท่านชัดเจนเลยว่าเราต้องการทำอย่างนี้ แล้วท่านอธิบดีของผมทุกคน ท่านรองปลัดที่ดูแล Cluster ก็เห็นชอบและจะกำกับดูแลเที่ยงนี้ ผมต้องไปที่ตาก ไปดูว่าเป็นอย่างไร ไปให้กำลังใจเขา และจะทำอย่างนี้ ครบทุกภาคของประเทศไทย เพื่อให้พลังนั้นเป็นหนึ่ง และก็ท่านมีอุปสรรคอะไร วันนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างไร ท่านปลัดกระทรวง ท่านรองปลัดกระทรวง ท่านอธิบดีมีหน้าที่รับสิ่งเหล่านั้นเข้ามา และก็หาทางพัฒนา ฉะนั้นจากนี้ไปการสื่อความระหว่างส่วนกลางกับภูมิภาค ต้องมีเป็นหนึ่งเดียว ความสามัคคีต้องเกิดขึ้นมา คนไหนสร้างปัญหาผมจะไม่ให้เป็นใหญ่ในกระทรวงการคลัง คนไหนขึ้นมาแล้วรวมพลังได้เป็นหนึ่ง ผมจะให้คนของเหล่านั้นเป็นหนึ่งในกระทรวงการคลัง
เวลาวันนี้มีไม่มาก ผมขอบคุณท่านอีกครั้งหนึ่ง ทิศทางชัดเจน สื่อความให้ชัด แล้วผมจะรับฟังปัญหา ขอบคุณและร่วมมือกันอีกครั้ง ขอบคุณครับ
กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
สุรีย์พร ชัยยะรุ่งสกุล : ถอดเทป/พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : ตรวจ/ทาน
--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง--
-ศน-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ