กรุงเทพฯ--11 ก.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งที่ใหญ่ที่สุดในไทยที่มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คาดปริมาณการขายไฟฟ้าในไตรมาส 2/60 ทำนิวไฮต่อเนื่อง หลังโรงไฟฟ้าทั้ง 4 โรง ผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับอานิสงส์จากภาครัฐที่ปรับขึ้นค่าเอฟทีรอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคมนี้ ช่วยหนุนผลการดำเนินงาน ส่วนความคืบหน้าการพิจารณา EIAโรงไฟฟ้าใหม่อีก 2 โรง คาดเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของภาครัฐในเร็วๆ นี้
นายวรวิทย์ เลิศบุษศราคาม รองผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายโรงงาน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือTPIPP เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายในช่วงไตรมาส 2/60 เพิ่มขึ้นเป็นสถิติสูงสุดใหม่จากโรงไฟฟ้าทั้ง 4 โรง ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 150 MW ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะจำนวน 2 โรง ที่จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) 3.50 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งอีกจำนวน 2 โรง ที่จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ บมจ.ทีพีไอ โพลีน ซึ่งเป็นบริษัทแม่เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีปัจจัยมาจากการนำองค์ความรู้มาใช้ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี และการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร ส่งผลให้สามารถ Utilization ของโรงไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับค่า FT จากการขายไฟให้กับบริษัทแม่ 12.52 สตางค์ต่อหน่วย และการขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. 12.4 สตางค์ต่อหน่วย ที่มีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
"ในไตรมาส 2/60 TPIPP ผลการผลิตไฟฟ้าได้สูงขึ้นกว่า 209 ล้านหน่วย ซึ่งเป็น New high อีกครั้งจากไตรมาสแรกที่จำหน่ายไฟฟ้าได้ 197 ล้านหน่วย โดยเกิดจากการปรับปรุงเครื่องจักรตามแผนงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณการผลิตไฟฟ้าและการจำหน่ายไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนต่อ ๆ ไป" นายวรวิทย์ กล่าว
รองผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายโรงงาน TPIPP กล่าวว่า ความคืบหน้าการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) ของโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินและพลังงานเชื้อเพลิงขยะ 70 MW (TG7) ได้ผ่านการอนุมัติรายงาน EIA จากหน่วยงานภาครัฐเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้า คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/60 นี้
ส่วนโรงไฟฟ้าอีก 2 โรง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW (TG6) ที่มีแผนนำไปรวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 30 MW (TG4) รวม 100 MW เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. และโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน 150 MW (TG8) ที่จะจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ บมจ.ทีพีไอ โพลีน นั้น บริษัทฯ ได้เพิ่มเติมข้อมูลในรายงาน EIAตามที่ได้รับแจ้งจากการพิจารณาในครั้งแรก โดยคาดว่าจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐได้ในเร็ว ๆ นี้ โดยหากได้รับการอนุมัติก็จะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) ได้เร็วกว่ากำหนดเดิมในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเพิ่มขึ้นเป็น 440 MW จากปัจจุบันอยู่ที่ 150 MW
ทั้งนี้โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะ 60 MW ของบริษัทฯ ได้รับรางวัลดีเด่น จากการประกวด Thailand Energy Awards 2017 และเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการประกวด Asian Energy Awards 2017 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ สำหรับการขยายโครงการในอนาคต บริษัทฯ อยู่ระหว่างกำลังศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมเสนอขายไฟฟ้า แบบ hybrid renewable ที่มีการประกาศรับซื้อ 300 MW โครงการโรงไฟฟ้าขยะของกรุงเทพฯ ที่ อ่อนนุช-หนองแขม รวม 40 MW และโครงการโรงไฟฟ้าขยะ SPP ที่จะรับซื้อเพิ่ม ซึ่งคาดว่าภาครัฐจะเริ่มประกาศรับซื้อประมาณปลายปีนี้