แกรมมี่ฯ รุกตลาดทั้งเอเชีย ทาบมือมาร์เก็ตติ้งหนุนงานครีเอทีฟ

ข่าวบันเทิง Wednesday December 27, 2000 14:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 ธ.ค.--ทูเดย์อินไทยแลนด์
นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แกรมมี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกันเปิดเผยถึงทิศทางและนโยบายของบริษัทและบริษัทในเครือแกรมมี่ฯ ว่า บริษัทจะวางกรอบการคิดงานให้กว้างขึ้น หรือที่เรียกว่า THINK BIG เพื่อให้การสร้างสรรค์งานทุกเซ็กเมนต์สามารถทำตลาดได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายหลักของบริษัทในอนาคต ทั้งในส่วนของธุรกิจเพลง, ภาพยนตร์, มีเดีย และอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะธุรกิจภาพยนตร์นั้นจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2544 เป้นต้นไป โดยมีแผนจะผลิตภาพยนตร์ที่สามารถทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ASIA MOVIES ทั้งในรูปแบบของลงทุนผลิตเองและร่วมกับบริษัทในต่างประเทศผลิต นอกจากนี้ยังมีโครงการจะนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วย โดยคาดว่าจะเปิดตัวได้อย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมนี้ในนามบริษัท จีเอ็มเอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด
ขณะนี้บริษัทได้ปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ในบางส่วน เพื่อให้เหมาะกับแผนงานของธุรกิจในอนาคต โดยมีตำแหน่งที่ปรับใหม่ 2 ตำ แหน่ง คือ แต่งตั้งนางบุษบาดาวเรือง จงมั่นคง เป็นผู้ดูแลด้านครีเอทีฟในภาพรวมทั้งระบบ เนื่องจากเห็นว่าฐานธุรกิจของบริษัทเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับงานด้านครีเอทีฟเป็นหลัก และเพิ่มตำแหน่งคอร์ปอเรต มาร์เก็ตติ้ง สำหรับประสานงานดูแลเรื่องกลยุทธ์การตลาดโดยภาพรวม เพื่อให้เกิดความผสมผสานที่ลงตัวของงานครีเอทีฟและการตลาด และเพื่อให้สอดรับการแนวทางการบริหารในอนาคตที่ต้องอาศัยการตลาดเข้ามาผลักดันงานครีเอทีฟออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทาบ ทามบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่งดังกล่าวคาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงต้นปี และมีนโยบายจะสร้างบุคลากรที่เป็นนิวเจเนอเรชั่นเข้ามาเสริมฐานบุคลากรเดิมทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต นอกจากนี้ ไพบูลย์ยังกล่าวถึงทิศทางการเติบโตของกลุ่มแกรมมี่ฯว่า เชื่อว่าในปี 2544 ธุรกิจในกลุ่มของแกรมมี่ฯจะมีอัตราการเติบโตสูงมาก คาดว่าในส่วนของกำไรจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% ขณะที่รายได้รวมจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากปีนี้ที่รายได้รวมของบริษัทมีอัตราการเติบโต 8-10% เท่านั้น โดยมีปัจจัยหลักๆ มาจากการปรับทิศทางของธุรกิจค้าปลีกในส่วนของร้านอิมเมจิ้นใหม่หมด โดยคงเหลือไว้เฉพาะสาขาที่ทำกำไร ขณะที่ธุรกิจเอ็ดดูเทนเมนต์สามารถเดินได้ด้วยตัวเองแล้ว และในส่วนของอินเทอร์เน็ต EOtoday ก็มีแนวโน้มหารายการเลี้ยงตัวเองได้และมีแนวโน้มที่ดีในอนาคต
สำหรับธุรกิจหลักในปีหน้านั้นก็ยังคงเป็นธุรกิจเพลง ด้วยสัดส่วนประมาณ 50-55% ธุรกิจด้านมีเดีย ประมาณ 40% ที่เหลืออีก 5% จะเป็นธุรกิจด้านอื่นๆ รวมถึงอินเทอร์เน็ตด้วย ขณะเดียวกันธุรกิจต่างประเทศก็จะเริ่มทำกำไรได้ในปีหน้า--จบ--
-สส-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ