(ต่อ 8) บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล ภูมิใจเสนอภาพยนตร์แอนิเมชั่นคลาสสิคตลอดกาลของวอลท์ ดิสนีย์พิค "Beauty and the Beast "

ข่าวทั่วไป Friday December 7, 2001 15:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล
เจอร์รี่ ออร์บาช (ลูมีแอร์)
ฝากการแสดงทรงเสน่ห์ไว้ในบทเชิงเทียนหนุ่มผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวหน้าคนรับใช้ของปราสาท เมื่อเบลล์มาถึง เขาก็เป็นผู้นำในการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมเพื่อให้เธอรู้สึกราวตนเป็นแขกสุดพิเศษ สำหรับออร์บาช เจ้าของรางวัลโทนี่จาก Promises, Promises และมีผลงานน่าประทับใจทั้งด้านละคร, หนังและโทรทัศน์มากมาย (เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนี่กับทนักสืบ เลนน บริสโก ในละคร NBS เรื่อง Law and Order) แล้ว การพากย์เสียงหนังแอนิเมชั่นถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ "ลูมีแอร์เป็นตัวละครที่เยี่ยมมาก" เขากล่าว "เขาเป็นหนุ่มฝรั่งเศสขนานแท้ ผมนึกถึงบุคลิกของ มอรีซ เชวาลีแยร์ ไว้ในใจเสมอขณะพากย์ ส่วนการร้องเพลง 'Be Our Guest' ก็สนุกมากเพราะทำให้ผมมีโอกาสได้ใช้พลังเต็มที่และยังได้ร้องเพลงสไตล์พูดอีกด้วย" ออร์บาชเริ่มเล่นละครเวทีนิวยอร์คครั้งแรกใน The Threepenny Opera โดยรับบทแม็คเดอะไนฟ์ ตามด้วยบท เอล กัลโล ในละครเด่นนอกบรอดเวย์เรื่อง The Fantastiks ปี 1960
ละครบรอดเวย์เรื่องแรกของออร์บาชคือ Carnival (1961) ของ เดวิด เมอร์ริค เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนี่ครั้งแรกจากบท สกาย มาสเตอร์สัน ใน Guys and Dolls ของซิตี้เซ็นเตอร์ จากนั้นก็มีผลงานเด่นๆอย่างบทนำใน Chicago และละครเพลงยอดฮิตเรื่อง 42nd Street กับยังแสดงใน The Cradle Will Rock, Scuba Duba, 6 Rms Riv Vu และละครเดินสายแสดงทั่วประเทศนาน 9 เดือนเรื่อง Chapter Two ของ นีล ไซม่อน สำหรับในแวดวงหนัง ออร์บาชปรากฏตัวใน Postcards from the Edge, Crimes and Misdemeanors, Dirty Dancing, Someone to Watch Over Me, F/X, Brewster's Millions, Prince of the City และ The Gang That Couldn't Shoot Straight ปี 1997 เขาร่วมแสดงในหนังเรื่อง Chinese Coffee ประกบนักแสดง-ผู้กำกับ อัล ปาชิโน่
ออร์บาชแสดงคู่กับ แอนเจล่า แลนส์บูรี่ เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานจาก Beauty ในบทนักสืบ แฮร์รี่ แม็คกรอว์ ในซีรี่ส์ Musder, She Wrote และปี 1988 ตัวละครตัวนี้ก็แยกออกมามีซีรี่ส์ของตนเองชื่อ The Law and Harry McGraw ออร์บาชเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนักแสดงของ Law and Order ในปี 1992 และได้รับความนิยมอย่างมาก บทนักสืบ เลนนี่ บริสโก ของเขายังมีโอกาสข้ามไปปรากฏตัวใน Homicide: Life on the Street และ Law and Order: Special Victims Unit
แบรดลี่ย์ เพียร์ซ (ชิป)
เป็นผู้สร้างบุคลิกแก่แดดเกินวัยให้แก่ถ้วยชาใบน้อยขี้หงุดหงิด ผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในฉากแอ๊คชั่นตอนท้ายเรื่อง เจ้าของเสียงถ้วยใบนี้คือนักแสดงวัย 9 ขวบ (ในขณะนั้น) ผู้เกิดและโตในฟีนิกซ์ รัฐอริโซน่า ผู้กำกับ Beauty and the Beast และผู้บริหารสตูดิโอติดอกติดใจการแสดงของเพียร์ซมากจนถึงกับเพิ่มฉากใหม่ๆให้แก่ถ้วยกระเบื้องจอมขโมยซีนคนนี้ทันที
เพียร์ซเริ่มอาชีพนักแสดงมาตั้งแต่ 13 ปีก่อนด้วยการประเดิมในงานโฆษณาหลายชิ้น รวมทั้งโฆษณาโทรทัศน์ของสินค้าดังๆอย่าง McDonald, มัสตาร์ด French และครีมกันแดด Sundown ปี 1990 เขารับบทนำในหนังโทรทัศน์เรื่อง Casey's Gift: For Love of a Child และแสดงใน Too Young to Die ส่วนบทอื่นๆในโทรทัศน์ของเขามีอาทิ บทแอนดรูว์ในละครเรื่อง The Days of Our Lives, เป็นดารารับเชิญใน Life Goes On, Anything But Love และ Beverly Hills 90210 กับยังปรากฏตัวในรายการดังๆอย่าง Lois and Clark, Picket Fences, Mad About You, Touched By Angel, The Profiler และ Star Trek Voyager ส่วนด้านงานพากย์เราจะได้ยินเสียงของเขาในซีรี่ส์แอนิเมชั่นทางโทรทัศน์เรื่อง The Little Mermaid และ Sonic the Hedgehog
ผลงานแสดงหนังของเพียร์ซยังได้แก่บทนำใน Jumanji และ The Borrowers
เดวิด อ๊อกเดน สเตียร์ส (ค็อกส์เวิร์ธ/บรรยายเรื่อง)
สเตียร์สใช้พรสวรรค์ด้านการแสดงตลกของเขามาช่วยสร้างชีวิตให้แก่นาฬิกาเหนือเตาผิงผู้รับหน้าที่หัวหน้าบ้านอสูร ค็อกส์เวิร์ธเป็นตัวละครขี้ตื่นเต้นตกใจ แต่ภายใต้ผิวหน้าที่เคลือบไว้อย่างเงางามมันวาวของเขานี้ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นและช่างห่วงใยคนอื่น นอกจากนั้น สเตียร์สยังแสดงความสามารถในฐานะนักพากย์ของเขาด้วยการให้เสียงบรรยายแสนอบอุ่นในท่อนเปิดเรื่อง "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" ของหนังด้วย และศิลปินคนโปรดของแผนกแอนิเมชั่นดิสนีย์คนนี้ยังให้เสียงพากย์ทั้งใน Pocahontas (รับบทวิกกินส์และท่านข้าหลวงแรตคลิฟฟ์), The Hunchback of Notre Dane (รับบทอาร์คดีคอน), Atlantis: The Lost Empire (เป็นศาสตราจารย์ฮาร์คอร์ต) และแอนิเมชั่นปี 2002 เรื่อง Lilo and Stitch
"ค็อกส์เวิร์ธประทับใจผมตรงความเป็นคนที่พยายามจะควบคุมทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้มีคุณสมบัติใดๆในอันที่จะตอบสนองความต้องการนั้นได้เลย" สเตียร์สบอก "เขาพยายามทำให้ทุกสิ่งเดินหน้าไปอย่างราบรื่น แต่ก็เหมือนคนที่ไม่รู้จักยืดหยุ่นส่วนใหญ่นั่นแหละที่มักจะพลาดทำสิ่งที่ตัวเองกลัวออกมาจนได้ เขาเป็นพวกหมกมุ่นกับตัวเองและสุดจะจุ้นจ้าน ตั้งอกตั้งใจทำงานแม้ว่าจริงๆแล้วจะทำไม่ได้ก็เถอะ"
สเตียร์สพบว่า กระบวนการทำหนังแอนิเมชั่นนั้นน่าหลงใหลมากและก็สนุกอย่างยิ่งที่ได้เฝ้าสังเกตการทำงานของทีมผู้สร้าง "ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมกับกระบวนการสร้างสรรค์แบบนี้มาก่อนเลย" สเตียร์สกล่าว "ผู้กำกับให้ทั้งเวลาและอิสระแก่ผมเต็มที่ในการพากย์แบบด้นสดและปรับบทพูดให้เข้ากับวิธีของผมเอง น่าทึ่งมากจริงๆที่ได้เห็นความคืบหน้าของหนังตั้งแต่ยังเป็นสตอรี่บอร์ดจนกลายเป็นแอนิเมชั่นสำเร็จออกมา ผมจึงสนุกมากกับประสบการณ์ครั้งนี้"
ผลงานในอดีตของสเตียร์สที่น่าจะทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือ ซีรี่ส์ทางโทรทัศน์เรื่อง M*A*S*H* ที่เขาแสดงถึง 6 ปีในบทนายพันวินเชสเตอร์ และบทนี้เองที่ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ 2 ครั้ง ก่อนจะได้เข้าชิงเป็นครั้งที่ 3 จากมินิซีรี่ส์ทาง NBC เรื่อง First Modern Olympics
สเตียร์สเกิดในพีโอเรีย อิลลินอยส์ และเริ่มงานแสดงในย่านเบย์กับ California Shakespeare Festival ตามด้วย Actor's Workshop ในซานฟรานซิสโก หลังจากนั้น เขาก็ย้ายไปนิวยอร์คเพื่อเรียนต่อการด้านแสดงกับ จอห์น เฮาส์แมน ที่ Juilliard School และเป็นสมาชิกใน Acting Company ของเฮาส์แมน ซึ่งทำให้เขามีโอกาสร่วมเดินสายแสดงใน The Beggar's Opera, The Three Sisters, Measure for Measure และ The Lower Depths
ในแวดวงบรอดเวย์ สเตียร์สปรากฏตัวใน Ulysses in Night Town กับ ซีโร่ มอสเทล และแสดงในละครเพลงสุดฮิตเรื่อง The Magic Show โดยขณะเรียนที่ Juilliard School เขารับบท 'เดวิล' ใน L'Histoire Du Soldat และให้เสียงบรรยายใน Carnival of the Animal ของ Saint-Saen กับยังเป็นผู้นำวงซิมโฟนี่ออร์เคสตร้าทั่วประเทศอีกหลายแห่ง เช่น ในพอร์ตแลนด์, เมน, ซานฟรานซิสโก, ซานดีเอโก้, โฮโนลูลู, ลอสแอนเจลิส และชิคาโก้ โดยเขาภาคภูมิใจอย่างยิ่งกับการเป็นวาทยากรรับเชิญให้แก่วง Yaquina Chamber Orchestra
ผลงานด้านละครเวทีอื่นๆของสเตียร์สมีอาทิ ละครหลายๆเรื่องของ Old Globe Theater ในซานดิเอโก้ และในเรื่อง Love Letters ของ อาร์ เอ เกอร์นี่ย์ ซึ่งแสดงประกบ ไมเคิล เลิร์นเนด และ เมเรดิธ แบ๊กซ์เตอร์ เบอร์นี่ย์ นอกจากนั้นเขายังกำกับละครเวทีเรื่อง Love Letters ที่อินเตอร์โลเชน มิชิแกน และละครระดับรางวัลปี 1984 ของ Old Globe เรื่อง Scapino
สำหรับในแวดวงหนัง สเตียร์สปรากฏตัวในผลงานหลายๆชิ้นของผู้กำกับ วู้ดดี้ แอลเลน ได้แก่ Another Woman, Shadows and Fog และล่าสุดคือ Curse of the Jade Scorpion ส่วนงานเรื่องอื่นๆมีอาทิ Oh God!, Magic, The Man with One Red Shoe, Better Off Dead, The Accidental Tourist และ Doc Hollywood ส่วนงานโทรทัศน์มีอาทิรายการดังๆอย่าง North and South, The Innocents Abroad, The Day My Bubble Burst, Mrs. Delafield Wants to Marry, Anatomy of an Illness, The Final Days, Star Trek: The Next Generation และแสดงในหนัง HBO เรื่อง Ishi ด้วย
ริชาร์ด ไวท์ (แกสต็อง)
ไวท์ให้เสียงบาริโทนแก่ตัวละครซึ่งเลอฟูเรียกขานว่า "ชายหนุ่มขวัญใจทุกคน" แต่หนุ่มรูปงามคนนี้ก็กลับกลายเป็นคนอัปลักษณ์ไปทันทีเมื่ออะไรๆไม่เป็นไปตามความต้องการ จนเขาต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้ทุกคนได้เห็น เสียงของไวท์เป็นแรงบันดาลใจชั้นยอดแก่แอนิเมเตอร์ แอนเดรียร์ส เดจา ผู้รับหน้าที่สร้างชีวิตให้แก่แกสต็อง "เสียงของเขาเหมือนเสียงเพลงมาก" เดจาบอก "ตอนที่ผมได้ยินครั้งแรกนั้น ผมคิดว่า 'คนคนนี้พูดเหมือนร้องเพลงอยู่ตลอดเวลาเลยจริงๆ' ผมจึงตัดสินใจเพิ่มคุณสมบัติข้อนี้เข้าไปในบุคลิกของตัวละครด้วย การแสดงของเขาสะท้อนได้อย่างดีถึงความรู้สึกปลาบปลื้มตัวเองแบบสุดๆและความรู้ชัดว่าใครๆก็คลั่งไคล้เขาทั้งนั้น"
ไวท์เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าแกสต็องนั้น "เชื่อมั่นสุดขีดในความวิเศษของตัวเอง ผมนึกถึงคนหลายๆคนที่เคยรู้จักและพูดตรงๆว่าก็อาศัยข้อมูลส่วนหนึ่งจากตัวผมเองด้วย ผมว่าเราทุกคนล้วนมีนิสัยแบบแกสต็องกันอยู่บ้าง ส่วนที่ดีที่สุดของการรับบทนี้คือได้ร้องเพลงเยี่ยมๆจากฝีมือการแต่งของแอชแมนกับเมนเคน ดนตรีของพวกเขามีความลุ่มลึกซับซ้อน ไม่เสแสร้งและก็เดินตามขนบของบรอดเวย์ได้อย่างเยี่ยมยอด"
ไวท์เริ่มเล่นละครบรอดเวย์ครั้งแรกใน The Most Happy Fella และรับบททอมมี่ในละครนิวยอร์คเรื่อง Brigadoon ตามด้วยบทเรือโทเคเบิลใน South Pacific, ประกบ เอสเทลล์ พาร์สันส์ ในละครนอกบรอดเวย์เรื่อง Elisabeth and Essex และรับบท จอร์จ เคอร์บี้ ใน Topper ของ เจอร์รี่ สเติร์นเนอร์ เขาเดินสายแสดงละครกับ โรเบิร์ต กูเล็ต ใน Camelot และรับบทนำใน Phantom ของ มอรี่ เยสตัน กับ อาร์เธอร์ โคพิต ที่ Theater Under the Stars ในฮุสตัน และพากย์เสียงเป็นตัวละครเดียวกันนี้ใน Premier Cast Recording ส่วนที่ Papermill Playhouse เขารับบท เอซ กรูเวอร์ ในละครเพลง Sayonara ตามด้วยบทด็อคเตอร์เจคิลล์ใน Dr. Jekyll and Mr. Hyde, ละครเพลงคันทรี่-ตะวันตกของ แลร์รี่ แกทลิน เรื่อง Texas Flyer และรับบทพระเอกในละครเพลงโด่งดังเรื่อง Zorro
ผลงานโดดเด่นอื่นๆของไวท์ได้แก่ การรับบทสตาร์บั๊ค ใน 110 in the Shade ของ Bristol Riverside Theater, บท บิลลี่ บิเกโลว์ ใน Carousel, บทเจฟเฟอร์สัน - ดิคคินสัน และรัตเลดจ์ ใน 1776, เฟร็ด แกรห์ม ใน Kiss Me Kate, พอล ใน Carnival, คาร์ล แม็กนัส ใน A Little Night Music, เคอร์ลี่ย์ ใน Oklahoma! และเคานต์ดานิโล่ ใน The Merry Widow โดยล่าสุด ไวท์แสดงละครดังเรื่อง Behind the Mask ในนิวยอร์ค และกำลังจะปรากฏตัวในละครนิวยอร์คเรื่อง Nicolette and Aucassin
นอกจากนั้น ไวท์ยังได้รับเชิญไปเปิดการแสดงเดี่ยวในคอนเสิร์ตหลายแห่งทั่วประเทศร่วมกับวงฟลอริด้าฟิลฮาร์โมนิค, วงซิมโฟนี่ในชิคาโก้, ซินซินเนติ, คาลามาซู, ลองบีช, แช็ตตานูกา, อินเดียนาโพลิส, ยูทาห์, โฮโนลูลู และฮันต์สวิลล์ กับยังไปแสดงที่ Hollywood Bowl ถึง 3 ครั้ง ล่าสุดเขาเพิ่งกลับจากการแสดงคอนเสิร์ตร่วมกับวงนิวเจแปนฟิลฮาร์โมนิคที่โตเกียว ภายใต้การนำวงโดย คีธ ล็อคฮาร์ต แห่ง Boston Pops
หลังจากได้เห็นการแสดงของไวท์ที่คารูเซลแล้ว เบเวอร์ลี่ ซิลล์สก็เชิญเขาไปร่วมแสดงกับเธอในนิวยอร์คซิตี้โอเปร่าโดยเขารับบทนำใน The New Moon, The Desert Song, Brigadoon และ South Pacific นอกจากนั้นเขายังรับบท เกย์ลอร์ด เรฟนอล ใน Showboat ของ Houston Grand Opera ซึ่งต่อมาได้ไปเปิดแสดงที่ Cairo Opera House ในอียิปต์
ส่วนผลงานโทรทัศน์เรื่องเด่นๆของไวท์ได้แก่ Showboat (อยู่ในรายการ Great Performance ทาง PBS), The New Moon (สำหรับนิวยอร์คซิตี้โอเปร่า) และละครเรื่อง One Life to Live (ในบทแคลวิน) กับ The Guiding Light (ในบทแอลเบิร์ต)
โจ แอนน์ วอร์ลี่ย์ (ตู้เสื้อผ้า)
เธอเป็นเจ้าของเสียงคุ้นเคยของตัวละครตู้เสื้อผ้าผู้มอบเกร็ดความรู้ดีๆเกี่ยวกับแฟชั่นมากมายแก่ผู้ชมของเธอ
วอร์ลี่ย์โด่งดังที่สุดจากการแสดงในซีรี่ส์ทางโทรทัศน์ยาวนาน 4 ปีเรื่อง Rowan and Martin's Laugh-In ซึ่งอารมณ์ขันร้ายกาจ, จังหวะจะโคนแม่นยำในการแสดงตลก และมุขเพี้ยนๆมากมายของเธอนี้เองที่ทำให้เธอกลายเป็นขวัญใจผู้ชม
วอร์ลี่ย์เป็นชาวลอเวลล์ อินเดียน่า เธอเริ่มต้นอาชีพนักแสดงหลังจากเรียนจบไฮสคูลด้วยการร่วมงานกับคณะละครชื่อ Pickwick Players ในบลูเวลต์ นิวยอร์ค ตามด้วยการเข้าเรียนสาขาการแสดงที่ Midwestern University ในวิชิต้าฟอลล์ส เท็กซัส ซึ่งเธอใช้เวลาเรียนอยู่ 2 ปีก่อนย้ายไปยังแคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิสเธอเข้าเรียนต่อที่ L.A. City College และ Pasadena Playhouse ก่อนเริ่มแสดงละครเพลงเป็นครั้งแรกใน Wonderful Town แล้วโด่งดังอย่างรวดเร็วหลังจากเซ็นสัญญาไปปรากฏตัวในละครเรื่อง The Billy Barnes People ซึ่งได้ไปเปิดแสดงที่บรอดเวย์ในเวลาต่อมา
ด้วยคำรับรองจาก โกเวอร์ แชมเปี้ยน วอร์ลี่ย์ได้รับเลือกให้เป็นสแตนด์อินของ แครอล แชนนิ่ง ในละครบรอดเวย์เรื่อง Hello Dolly! หลังจากนั้นเธอก็เปิดแสดงในไนท์คลับที่กรีนิชวิลเลจซึ่งไปเข้าตา เมิร์ฟ กริฟฟิน พิธีกรรายการทอล์คโชว์เข้าอย่างจัง เขาประทับใจกับการแสดงของเธอมากถึงขั้นเชิญเธอไปออกรายการกว่า 150 ครั้ง และหนึ่งในผู้ที่ได้ชมเธอจากรายการดังกล่าวก็คือ จอร์จ ชแล็ตเตอร์ โปรดิวเซอร์รายการ Rowan and Martin's Laugh-In นั่นเอง
วอร์ลี่ย์ไปเป็นดารารับเชิญให้กับรายการโทรทัศน์หลายรายการ อาทิ Murder, She Wrote และ Love Boat รายการพิเศษความยาว 90 นาที เธอมีผลงานในละครดังของบรอดเวย์มากมาย เช่น Mame, Gypsy และ Into the Woods กับยังแสดงละครเพลงบรอดเวย์เรื่อง Prince of Central Park และรับบท บอริส โพรนิน ใน The Beautiful Lady ที่ Mark Taper Forum ในลอสแอนเจลิสด้วย
สำหรับผลงานจอเงินของวอร์ลี่ย์มีอาทิ Moon Pilot และ The Shaggy D.A. ของดิสนีย์ กับซีรี่ส์ทางโทรทัศน์ของดิสนีย์เช่นกันอย่าง The Mouse Factory รวมทั้งพากย์เสียงฮ็อพโพโพเทมัส ในแอนิเมชั่นเช้าวันเสาร์เรื่อง The Wuzzles
นอกจากนั้น วอร์ลี่ย์ยังแสดงคู่กับ โรเจอร์ เพอร์รี่ สามีนักแสดงของเธอในวิดีโอเรื่อง The Elf Who Saved Christmas และ Poker with Joker ด้วย ปัจจุบันนักแสดงตลกหญิงฝีมือเยี่ยมผู้นี้อาศัยอยู่กัสามีของเธอที่โทลูคาเลค รัฐแคลิฟอร์เนีย--จบ--
-สส-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ