กรุงเทพฯ--13 ก.ค.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทีจีส์
เบอร์ทอลลี่® ประเทศไทย แบรนด์น้ำมันมะกอกอันดับหนึ่งของโลก เผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภค เพื่อค้นหาทัศนคติที่ผู้บริโภคมีต่อน้ำมันมะกอก เทรนด์ของน้ำมันในปรุงอาหาร และปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการซื้อ ผลสำรวจดังกล่าวพบว่า ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับคุณค่าเชิงสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกใช้น้ำมันปรุงอาหาร และยังแสดงให้เห็นว่าชาวไทยมีความสนใจในการนำน้ำมันมะกอกมาใช้ปรุงอาหารไทยมากขึ้นด้วย
ผลสำรวจดังกล่าวได้รับการเผยแพร่และเก็บข้อมูลผ่านเพจเฟสบุ๊คของเบอร์ทอลลี่ ประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมทำแบบสำรวจทั้งหมด 100 คน ซึ่งอายุของผู้ตอบแบบสอบถามอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 18 ถึง 65 ปี ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า น้ำมันปาล์มเป็นน้ำมันที่ได้รับการใช้เพื่อการปรุงอาหารในครัวเรือนมากที่สุด 25% ตามมาด้วยน้ำมันพืช 21.9%และน้ำมันมะกอก 18.8% เป็นลำดับที่สาม ผลสำรวจยังเผยว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ 36.5% เลือกใช้น้ำมันเหล่านี้เพราะเชื่อว่าส่งผลดีต่อสุขภาพ ตามมาด้วยผู้บริโภค 25% ที่เลือกใช้น้ำมันดังกล่าว เพราะเคยชินและใช้กันมานานอยู่แล้ว ซึ่งบ่งบอกให้เห็นว่าความคุ้นเคยจากการใช้งานแบบซ้ำๆ นั้นส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค
โดยแบบสอบถามยังแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อสุขภาพในหลายมิติ โดย 54.2% ของผู้ทำแบบสอบถามเผยว่า เคยใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารเพราะเหตุผลทางด้านสุขภาพ และ 78.7% ของผู้ทำแบบสำรวจระบุว่า'ประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพ' ของน้ำมันมะกอกเป็นเหตุผลสำคัญอันดับหนึ่งในการดึงดูดให้พวกเขาต้องการเปลี่ยนไปใช้น้ำมันมะกอก และสำหรับคำถามว่า 'คุณจะเปลี่ยนชนิดของน้ำมันในการปรุงอาหารที่ใช้เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าไหม'51.6% ตอบว่า 'เปลี่ยน เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉัน' อีกหนึ่งผลสำรวจที่น่าสนใจ คือ มีเพียง 1.1% ที่คิดว่ารสชาติของน้ำมันสำคัญกว่าสุขภาพ
ในส่วนของการนำน้ำมันมะกอกมาใช้ในการปรุงอาหารไทยนั้น เบอร์ทอลลี่ ประเทศไทย แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกอกชนิดคลาสสิโคและเอ็กซ์ตร้า ไลท์ ซึ่งเหมาะสำหรับการปรุงอาหารแบบผัดและทอด นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 59.4% ยังเชื่อว่า สามารถใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารไทยได้ ตามมาด้วย 20.8% ที่ตอบว่าไม่เคยลองใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารไทย และมีเพียง 3.1% ที่เชื่อว่า ไม่สามารถนำน้ำมันมะกอกมาปรุงอาหารไทยได้
อีกหนึ่งผลสำรวจที่น่าสนใจ คือ การนำน้ำมันกลับมาใช้ใหม่สำหรับการปรุงอาหารภายในครัวเรือน ซึ่งผลสำรวจแบ่งออกเป็นสองส่วนที่เกือบเท่ากัน โดย 43.8% ของผู้ทำแบบสำรวจระบุว่า พวกเขาไม่เคยนำน้ำมันชนิดใดๆ กลับมาใช้ใหม่เลย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และ 44.8% ระบุว่า พวกเขานำน้ำมันกลับมาใช้ใหม่ในบางครั้ง ทั้งนี้ เบอร์ทอลลี่ ประเทศไทย เผยว่า น้ำมันมะกอกนั้นเป็นน้ำมันที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 2-3 ครั้ง หากกรองหรือนำส่วนตะกอนทิ้งไปแล้ว โดยขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่ปรุง และกรรมวิธีการปรุงด้วย
ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นตลาดอันดับหนึ่งในปี 2560 ของเบอร์ทอลลี่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การวิเคราะห์ทัศนคติของชาวไทยที่มีต่อน้ำมันในการปรุงอาหาร จึงนับเป็นการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่สำคัญของแบรนด์น้ำมันมะกอกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเบอร์ทอลลี่เข้าใจถึงเทรนด์และรสนิยมของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี
"สำหรับเบอร์ทอลลี่ ประเทศไทย นับเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคชาวไทยให้ได้อย่างแท้จริง และเราต้องตระหนักว่าสิ่งใดที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับพวกเขาในการตัดสินใจซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันปรุงอาหาร ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีที่ได้ทราบว่าสุขภาพได้กลายมาเป็นปัจจัยหลักในการเลือกน้ำมันปรุงอาหาร และเรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ผลิตภัณฑ์ของเรานั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันไม่ดี) และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ" นายกาย มันซ์-โจนส์ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เบอร์ทอลลี่ โกลบอล กล่าว "เรายังรู้สึกยินดีมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อพบว่าผู้บริโภคชาวไทยทราบว่า สามารถนำน้ำมันมะกอกมาใช้ปรุงอาหารไทยได้อย่างไม่มีข้อจำกัดและยังคงความอร่อยของรสชาติดั้งเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง"