กรุงเทพฯ--18 ก.ค.--พิตอน คอมมิวนิเคชัน
สร้างนิยามใหม่ของระบบจัดเก็บข้อมูลระดับ Tier 1 ด้วยความสามารถใหม่ๆ ภายในซอฟต์แวร์มากกว่า 25 รายการ ช่วยให้การทำ Multi-Cloud ง่ายขึ้นในงาน Pure Live
วันนี้ Pure Storage (NYSE: PSTG) เผยวิสัยทัศน์ของแพลทฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลในยุคสมัยแห่งคลาวด์ในงาน Pure Live ที่จัดขึ้นในกรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม และเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้อย่างราบรื่น แพลทฟอร์มล่าสุดของ Pure Storage นี้ประกอบไปด้วยความสามารถใหม่ๆ ภายในระบบซอฟต์แวร์มากกว่า 25 รายการ พร้อมกับยังมีการปรับปรุงฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ๆ อย่างครอบคลุมอีกด้วย
"ข้อมูลนั้นถือเป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตเหล่าธุรกิจในยุคสมัยแห่งดิจิทัล และการทำ Digital Transformation เองนั้นก็ไม่ใช่เพียงแค่คำกล่าวเพียงลอยๆ อีกต่อไป ทุกวันนี้มีเกือบ 60% ของธุรกิจในไทยที่สามารถสร้างรายได้เกินกว่าครึ่งจากบริการดิจิทัลเท่านั้น ซึ่งธุรกิจดิจิทัลสมัยใหม่เช่นนี้ต้องการแพลทฟอร์มจัดเก็บข้อมูลที่ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างระบบแอพพลิเคชันประเภทใหม่ขึ้นมาได้ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้จากข้อมูลที่มีอยู่ และยังต้องทำได้ในเวลาแบบทันท่วงที" Chua Hock Leng กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียนและไต้หวันแห่ง Pure Storage กล่าว "ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานซึ่งสามารถสนับสนุนระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความสำคัญสูงสุดได้ด้วยการตอบ สนองในแบบทันท่วงที องค์กรในประเทศไทยจะสามารถเพิ่มความเร็วในการสร้างนวัตกรรม, เร่งเวลาในการเข้าสู่ตลาดให้เร็วขึ้นได้ และที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เกิดจากข้อมูลเหล่านี้สู่ลูกค้าของธุรกิจได้"
ปัจจุบันได้มีการประมาณการว่า จะมีการสร้างข้อมูลประมาณ 50 เซ็ตตาไบต์ (ZB) เกิดขึ้นในปี 2020 (เพิ่มขึ้นจากปี 2016 ที่มีเพียง 4 ZB เท่านั้น) และ 5 ปีถัดจากนั้นก็จะมีการสร้างข้อมูลมากถึง 180 ZB ในปี 2025 ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่รวดเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเมื่อศูนย์กลางการสร้างข้อมูลนั้นได้เปลี่ยนจากมนุษย์กลายไปเป็นเครื่องจักรนำโดยเหล่าอุปกรณ์เซ็นเซอร์, IoT, กล้องแบบดิจิทัล และอุปกรณ์ต่างๆ หลากหลายที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายก็จะทำให้ข้อมูลเกิดขึ้นมาอย่างมหาศาลนั่นเอง ในขณะเดียว กัน ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนไปจากการใช้ความสามารถในการรู้จำของมนุษย์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบเดิมๆ อย่างในอดีต ไปสู่การใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), Machine Learning, Neural Networks และการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมหาศาลในแบบทันท่วงทีแทนระบบแอปพลิเคชันใหม่ที่ใช้ข้อมูลในการขับเคลื่อนเหล่านี้ จะต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลรูปแบบใหม่ที่ใช้กลวิธีซึ่งแตกต่างจากในปัจจุบันและถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อรองรับการเข้าถึงข้อมูลพร้อมๆ กันเป็นปริมาณมหาศาล ด้วยแบนด์วิดธ์ในระดับที่สูงเป็นอย่างมากนั่นเอง
เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยไปถึงเป้าหมาย Pure Storage จึงได้ประกาศเปิดตัวฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุด ในงาน Pure Live ดังต่อไปนี้
นิยามใหม่ของระบบจัดเก็บข้อมูลระดับ Tier 1
ซอฟต์แวร์ Purity//FA 5.0 รุ่นใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ตระกูล FlashArray ของ Pure Storage ได้สร้างนิยามใหม่สำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลระดับ Tier 1 สามารถตอบโจทย์ของระบบงานที่มีความสำคัญสูงภายใต้ยุคสมัยแห่งคลาวด์ในรูปแบบใหม่ จุดเด่นภายใน Purity//FA 5.0 ก็คือเทคโนโลยี ActiveCluster ซึ่งเป็นโซลูชั่นการทำ Cluster ระยะไกลในแบบ Active/Active ที่ช่วยเพิ่มความทนทานของระบบได้ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่องด้วยศูนย์ข้อมูล หรือภายในระดับภูมิภาคระหว่างเมือง จุดเด่นอื่นๆ ของ Purity//FA 5.0 ที่เปิดตัวมานี้ รวมถึงการทำ QoS ได้ตามนโยบายที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการควบรวมระบบงานในหลากหลาย Tier เข้ามาอยู่ภายใน FlashArray ชุดเดียวกัน หรือการทำโมเดลทางธุรกิจในรูปแบบของผู้ให้บริการ (Service Provider) และความสามารถที่มีชื่อว่า Purity CloudSnap ซึ่งเป็นความสามารถใหม่ในการย้าย Snapshot เข้าหรือออกจากบริการคลาวด์สาธารณะได้อย่างอิสระ
นอกจากความสามารถใหม่ๆ ในระบบซอฟต์แวร์ที่ถูกเสริมเข้ามานี้ Pure Storage ก็ยังคงประกาศเปิดตัว DirectFlash Shelf รุ่นใหม่ที่ใช้ NVMe 100% ซึ่งเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลหลักแบบออลแฟลชแรกของวงการที่ใช้ NVMe ทั้งหมด ซึ่ง DirectFlash Shelf รุ่นใหม่นี้จะใช้ DirectFlash Module แบบ Software-defined อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Pure Storage ทำให้สามารถเพิ่มขยายระบบ FlashArray//X จาก Chassis หลักได้ ด้วยการเชื่อมต่อแบบ NVMe ผ่านเครือข่าย 50Gb/s RoCE v2 NVMe/F ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำของ Pure Storage ในการนำเทคโนโลยี NVMe มาใช้ในสถาปัตยกรรมของระบบออลแฟลชที่จะขับเคลื่อนประสิทธิภาพและความหนาแน่นของระบบให้สูงยิ่งขึ้นไปในอีก 10 ปีนับถัดจากนี้
จากข้อมูลขนาดใหญ่ สู่ข้อมูลที่ชาญฉลาด
การเปลี่ยนแปลงของวงการ Big Data ได้ทำให้องค์กรทั้งหลายสามารถรวมศูนย์ข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันได้สำเร็จ แต่ที่ผ่านมานั้น Big Data มักหมายถึงข้อมูลที่นำไปใช้งานได้ช้า ระบบ FlashBlade อันจะนำมาซึ่งการปฏิวัติรูปแบบโดย Pure Storage นี้ ทำให้ Big Data กลายเป็นข้อมูลที่มีความเร็วสูง และทำให้สามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลแบบทันท่วงทีได้อย่างต่อเนื่อง, สามารถรองรับระบบ AI และ Machine Learning (ML) ที่มีความซับซ้อนสูงได้ และสามารถจำลองระบบได้อย่างต่อเนื่องสำหรับข้อมูลในทุกขนาด ในงาน Pure Live วันนี้ Pure Storage ได้ออกตัวผลิตภัณฑ์ตระกูล FlashBlade ใหม่จำนวนมาก เช่น ความสามารถในการเพิ่มขยายระบบได้ถึง 75 เบลด และมีความจุ 8 เพตาไบท์ภายในระบบเดียว เพื่อช่วยในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากขึ้นได้ด้วยความเร็วที่สูงขึ้น, การรองรับบริการ S3 Object Store ในแบบออลแฟลชความเร็วสูง เพื่อรองรับการใช้งานสำหรับจัดเก็บข้อมูลในธุรกิจสื่อ, สาธารณสุข และการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูง และเบลดล่าสุดความจุ 17TB ที่จะมาเติมเต็มเบลดเดิมที่มีทางเลือกเพียงแค่ 8TB และ 52TB เท่านั้น
รองรับการทำ Multi-Cloud
คลาวด์นั้นอยู่ทุกหนแห่ง ทั้งภายในศูนย์ข้อมูลหลัก และศูนย์ข้อมูลรองตามสาขา ที่ซึ่งปริมาณข้อมูลและความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประมวลผลในพื้นที่นั้นๆ และปัจจุบัน คลาวด์ก็ยังได้เพิ่มขยายไประหว่างหลายผู้ให้บริการ IaaS และ SaaS ด้วย ซึ่งไม่ว่าองค์กรจะเลือกใช้งานคลาวด์ใดจากที่ใด ระบบแพลทฟอร์มจัดเก็บข้อมูลของ Pure Storage ก็จะช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลในสภาพแวดล้อมแบบ Multi-Cloud นี้เป็นไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสามารถใหม่ๆ ที่ทำให้ระบบคลาวด์กลายเป็นเรื่องง่ายดายที่สุดไม่ว่าจะสำหรับแพลทฟอร์มใด ด้วยการรองรับ VMware VVOLs, Microsoft ODX, Docker Persistent Containers, การผสานระบบปกป้องข้อมูลเข้ากับผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะ และโซลูชั่น FlashStack ที่ผ่านการทดสอบมาก่อนแล้ว เพื่อเร่งให้การสร้างคลาวด์เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ระบบจัดเก็บข้อมูลที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตนเอง
วันนี้ Pure Storage ได้เปิดตัว Pure1 META ระบบแพลทฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ซึ่งทำให้วิสัยทัศน์ของระบบจัดเก็บข้อมูลที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตนเองของเราเป็นจริงขึ้นมา Pure1 META จะทำการประมวล ข้อมูลจากทั่วโลกออกมาเป็นองค์ความรู้ด้วยการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการทำงานของระบบจัดเก็บข้อมูลทั่วโลกที่ส่งข้อมูลมามากกว่า 1 ล้านล้านชุดในแต่ละวัน ทำให้การบริหารจัดการ, การวิเคราะห์ข้อมูล และการสนับสนุนการใช้งานกลายเป็นเรื่องง่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับการนำ AI และ Machine Learning มาใช้งานในระดับองค์กรด้วย ซึ่งจากการใช้ Workload DNA ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Pure1 META ลูกค้าผู้ใช้งานก็จะสามารถทำนายได้ทั้งพื้นที่การใช้งานและประสิทธิภาพที่จำเป็นในอนาคต พร้อมได้รับคำแนะนำสำหรับการติดตั้งระบบงานใหม่ๆ, การทำงานร่วมกันระหว่างระบบงาน และการปรับปรุงระบบงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นได้อย่างแม่นยำเป็นครั้งแรกของวงการ