กรุงเทพฯ--19 ก.ค.--ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
- กำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรก เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.1 จากงวดเดียวกันปี 2559 มาอยู่ที่ 477.8 ล้านบาท สืบเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและสำรองที่ลดลง
- รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5 จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมบริการที่ปรึกษา รายได้ธุรกรรมเช่าซื้อ และค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน
- อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.81 (เทียบกับร้อยละ 3.79 ในงวด 6 เดือนแรกปี 2559) จากการบริหารต้นทุนทางการเงินที่ดีขึ้น
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 53.6 (เทียบกับร้อยละ 53.8 ในงวด 6 เดือนแรกปี 2559) เนื่องจากการบริหารค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น
- อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง ปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13.2 ณ 30 มิถุนายน 2560
ผลประกอบการงวด 6 เดือน ปี 2560
นายกิตติพันธ์ อนุตรโสตถิ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 มีกำไรสุทธิจำนวน 477.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.1 เมื่อเปรียบเทียบกับผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2559 รายได้จากการดำเนินงานลดลงร้อยละ 1.6 การควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 2.0 ในขณะที่สำรองหนี้สูญลดลงร้อยละ 6.2
รายได้จากการดำเนินงานลดลงจากงวดหกเดือนปี 2559 จำนวน 104.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.6 มาอยู่ที่ 6,383.1 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของรายได้อื่นร้อยละ 41.7 เนื่องจากการลดลงของกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศและกำไรสุทธิจากเงินลงทุน ซึ่งชดเชยด้วยการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจำนวน 158.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.5 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมบริการที่ปรึกษา รายได้ธุรกรรมเช่าซื้อและค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้น และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 101.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.1 เป็นผลจากการลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนปี 2560 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2559 ลดลงจำนวน 70.6 ล้านบาทหรือร้อยละ 2.0 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายภาษีอากร อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่อรายได้จากการดำเนินงานงวดหกเดือนปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 53.6 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2559 อยู่ที่ ร้อยละ 53.8 เป็นผลจากการปรับปรุงแผนการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับงวดหกเดือนปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 3.81 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2559 อยู่ที่ร้อยละ 3.79 เป็นผลจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
วันที่ 30 มิถุนายน 2560 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 202.4 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับ เงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน บางประเภท) จำนวน 207.0 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.4 จากสิ้นปี 2559 ซึ่งมีจำนวน 223.5 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 97.7 จากร้อยละ 92.4 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 11.3 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น (NPL ratio) อยู่ที่ร้อยละ 5.4 ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 อยู่ที่ร้อยละ 6.1 มีสาเหตุหลักจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในไตรมาส 1/2560 ประกอบกับธนาคารมีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยง ที่มีประสิทธิภาพ และการแก้ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับปรุงแนวทางในการเรียกเก็บหนี้ จากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีอยู่
อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ 84.0 เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 77.3 นอกจากนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 เงินสำรองของกลุ่มธนาคาร อยู่ที่จำนวน 9.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 3.3 พันล้านบาท
เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 มิถุนายน 2560 มีจำนวน 43.6 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 18.6 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 13.2
"ผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีออกมาน่าพอใจ กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นจาก NIM ที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานทรงตัว เงินให้สินเชื่อสุทธิลดลงเล็กน้อย เนื่องจากมีการชำระคืนสินเชื่อรายใหญ่และการปรับพอร์ตโฟลิโอ ด้านคุณภาพสินทรัพย์มีการปรับตัวที่ดีขึ้น ทั้งนี้ธุรกิจลูกค้ารายย่อย ธุรกิจลูกค้ารายใหญ่ และธุรกิจบริหารเงินของธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ดี ในขณะที่ธุรกิจพาณิชย์ธนกิจมีแนวโน้มเติบโตดีหลังปรับโครงสร้าง โดยสรุปภาพรวมผลประกอบการงวดปี 2560 ธนาคารน่าจะพลิกกลับมามีกำไร" นายกิตติพันธ์ กล่าว