กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--ทเว็นตี้ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
เรือโท คริส เบอร์เน็ท (โอเว่น วิลสัน) คือสุดยอดนักบินของกองทัพเรือ แต่เขากลับต้องผิดหวัง เนื่องจากสถานะการณ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างเปราะบาง ทำให้เขาถูกกันให้ห่างจากสิ่งที่เขารู้ดีที่สุด นั่นคือ การบิน F/A -18 สุดยอดเครื่องบินเจ็ทที่ใช้ในการต่อสู้ "เรามีหน้าที่เฝ้าดู ไม่ใช่ต่อสู้" เขาบอกกับ พลเรือเอก ไรการ์ต (ยีน แฮ็คแมน) ซึ่งคิดว่าเบอร์เน็ท ไม่เคยรู้อะไรคือความหมายที่แท้จริงของการเป็นทหาร
ระหว่างปฏิบัติภาระกิจลาดตระเวน เบอร์เน็ทถ่ายภาพบางสิ่งที่ไม่ควรจะมีใครเห็น เป็นเหตุให้เครื่องบินถูกสอยร่วงลงมาตกอยู่แดนของศัตรู เบอร์เน็ทพยายามที่จะเอาตัวรอดจากจากไล่ล่าอย่างไม่ลดละของตำรวจลับ ที่โหดเหี้ยมไร้ความปราณี และกองทัพศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที ไรการ์ตตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงกฎข้อบังคับโลกที่เขาดำเนินการอยู่ และเสี่ยงหน้าที่การงานของตัวเอง เพื่อปฏิบัติการกู้ชีพนายทหารคนหนึ่ง
ทเว็นตี้ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เสนองานสร้างของ Davis Entertainment Company นำแสดงโดย โอเว่น วิลสัน และ ยีน แฮ็คแมน ใน BEHIND ENEMY LINES ร่วมแสดงด้วย โจอาควิม เดอ อัลเมด้า , เดวิด คีธ และ โอเลค ครูป้า ภาพยนตร์กำกับการแสดงโดย จอห์น มัวร์ และอำนวยการสร้างโดย จอห์น เดวิส บทภาพยนตร์โดย เดวิด เวลอซ และ ซาค เพ็นน์ จากเรื่องของ เจมส์ โธมัส และ จอห์น โธมัส บริหารงานสร้างโดย สเตฟานี ออสติน และ วิค ก็อดเฟรย์
BEHIND ENEMY LINES ผู้อำนวยการสร้าง จอห์น เดวิส ท้าทายตัวเขาเองและทีมงานที่ Davis Entertainment กับภาพยนตร์ที่เป็นมากกว่าแอ็คชั่นและความตื่นเต้น เป้าหมายของเขาคือการทำภาพยนตร์สงครามในรูปแบบใหม่ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง แอ็คชั่น , เอ็ฟเฟ็กที่ทันสมัย , การเมือง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ หัวใจ "มีฉากแอ็คชั่นมากมายในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน" เดวิสกล่าว "แต่ผมคิดว่ายังมีอะไรมากกว่านั้น เราต้องการนำรูปแบบใหม่นี้มาสู่ศตวรรษที่ 21 ด้วยการพูดถึงความซับซ้อนของสงครามในปัจจุบัน และผลกระทบต่อผู้ชายและผู้หญิงที่มีหน้าที่รับใช้ชาติ"
ในภาพยนตร์ เบอร์เน็ทติดอยู่ท่ามกลางความยุ่งยากเหล่านี้ เขาผิดหวังที่ไม่ได้รับมอบความหน้าที่ในการรบ ซึ่งเป็นผลมาจากสถานะการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดในบอสเนีย (ภาพยนตร์ไม่ได้เจาะจงช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ แต่ผู้สร้างเรียกมันว่า "วันหลังจากวันพรุ่งนี้") เบอร์เน็ทพร้อมที่จะลาออก "เขาเป็นชายหนุ่มที่สูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองในการทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เขาขาดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่" ผู้บริหารงานสร้าง วิค ก็อดเฟรย์ กล่าว
ท่าทีของเบอร์เน็ททำให้เกิดเป็นความขัดแย้งกับนายทหารหัวเก่า พลเรือเอกไรการ์ต ซึ่งคิดว่าเบอร์เน็ทไม่รู้เลยว่าอะไรคือความหมายของการรับใช้ชาติ "ไรการ์ต เป็นคนหัวเก่า และดุดัน เขาเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่" ผู้กำกับ จอห์น มัวร์ กล่าว "เขาคิดว่าเบอร์เน็ทไม่เหมาะกับการเป็นทหาร ส่วนเบอร์เน็ทก็เห็นว่าไรการ์ตเป็นตัวแทนของพวกที่มีแนวคิดโบราณ" วิค ก็อดเฟรย์ เสริม "การเป็นทหารเปรียบเสมือนชีวิตของไรการ์ต และตอนนี้เขาเผชิญหน้ากับคนที่มองไม่เห็นเหตุผลที่จะสละชีวิตตัวเองเพื่อมัน"
ความน่าสนใจนี้ไม่ได้อยู่ในร่างของบทภาพยนตร์ในตอนแรก ที่เน้นไปที่นักบินสองคนที่พยายามเอาชีวิตรอดหลังจากเครื่องบินถูกสอยร่วงลงมาในแดนของข้าศึก ผู้ร่วมเขียนบท ซาค เพ็นน์ ได้แนวคิดในการเปลี่ยนบทภาพยนตร์ไปในเชิงเปรียบเทียบ การวางแผนกู้ชีพ เรื่องของการรอดตาย นอกเหนือจากนี้ เพ็นน์ ยังเขียนบทที่เขาเรียกว่า "เหมือนอย่าง ทอม แคลนซี) ด้วยการเสริมเรื่องที่ตรงกับประเด็นทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับกฏเกณฑ์ที่แตกต่างของแต่ละถิ่น
กฎข้อบังคับเหล่านี้นำเจ้าหน้าที่ NATO (พลเรือเอกล พิเคว็ต , แสดงโดย โจอาควิม เดอ อัลเมด้า) ในการป้องกัน ไรการ์ต จากความพยายามที่จะกู้ชีวิต ซึ่ง NATO กลัวว่าจะเป็นการทำลายสันติภาพอันเปราะบาง
เพ็นน์ยังกำหนดคาแร็คเตอร์ของ คริส เบอร์เน็ท ให้เป็นเพียงแค่เนวิเกเตอร์ "ธรรมดาๆ" คนหนึ่ง แทนที่จะเป็นนักบิน "ท็อป กัน" "ซึ่งทำให้คาแร็กเตอร์แตกต่างจากรูปแบบพระเอกฮอลลีวู้ดที่เป็นอยู่" เพ็นน์อธิบาย "BEHIND ENEMY LINES ไม่ได้เกี่ยวกับวีรกรรมของนักบินเจ็ท เบอร์เน็ทเป็นเพียงคนธรรมดาที่ติดอยู่ในสถานะการณ์ที่คาดไม่ถึง"
ในการเลือกผู้ที่จะมารับบท เบอร์เน็ท เดวิสต้องการนักแสดงที่เขาเรียกว่า "เปลี่ยนแอ็คชั่นฮีโร่จากหน้ามือเป็นหลังมือ" โอเว่น วิลสัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจากบทบาทการแสดงตลกในภาพยนตร์ อาทิใน "Meet the Parents" , "Bottle Rocket" และ "The Royal Tenenbaums" (เขาร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์สองเรื่องหลังด้วย) เป็นตัวเลือกที่ไม่ได้คาดเอาไว้สำหรับบทแอ็คชั่นฮีโร่ ซึ่งตรงกับความต้องการของเดวิส ทำให้วิลสันเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับบท เบอร์เน็ท
"เราต้องการคนที่สามารถให้บางสิ่งที่แตกต่างแก่เรา และแน่นอนนั่นเป็นสิ่งที่โอเว่นทำ" เดวิส อธิบาย "เขามีความสามารถพิเศษและร่าเริง และเรายังเรียนรู้ว่าเขาทำงานแอ็คชั่นได้ดีมากๆ เขานำความเป็นธรรมชาติมาใส่ในการแสดง เช่นเดียวกับ จิมมี่ สจ๊วต , แกรี่ คูเปอร์ และ สตีฟ แม็คควีน เคยทำมาในยุคของพวกเขา แต่โอเว่นยังมีความแกร่งอย่างที่บทต้องการด้วย"
ไหวพริบในการแสดงและอารมณ์ขันของวิลสัน สร้างความประทับใจให้ผู้กำกับ จอห์น มัวร์ "เขามีความสามารถอย่างหาตัวจับยากในการประยุกต์ใช้ไอเดีย และอย่างที่สองดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาในการซ้อมหลายเดือน"
วิลสันพอใจกับบทพระเอกที่เขาได้รับ "มันแตกต่างจากบทพระเอกที่เราเคยเห็นกันมา" เขากล่าว "ผมเคยแสดงเป็นนักบินอวกาศใน "Armageddon" และเป็นคาวบอยใน "Shanghai Noon" และได้มารับบทเป็นนักบินใน BEHIBD ENEMY LINES" แต่สิ่งที่สร้างความตื่นเต้นอย่างที่สุดให้กับนักแสดงก็คือการได้ร่วมงานกับ ยีน แฮ็คแมน "ผมดูภาพยนตร์ที่ยีนแสดงมาตั้งแต่เด็ก อย่าง 'The French Connection' และ 'Hoosiers' วิลสันอธิบาย "ถือเป็นเกียรติที่ได้แสดงร่วมกับเขา" ความสัมพันธ์ในการทำงานของพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ BEHIND ENEMY LINES เพราะหลังจากนี้วิลสันและแฮ็คแมนจะร่วมงานกันอีกครั้งในภาพยนตร์คอมเมดี้ "The Royal Tenenbaums"
ในการศึกษาบทสำหรับ BEHIND ENEMY LINES วิลสันต้องไปกินนอนอยู่กับพวกนักบิน ต้องผจญกับการฝึกเพื่อเอาตัวรอดและเรียนรู้การขึ้นลงเครื่องบินซูเปอร์เจ็ท F/A-18 ที่ฐานทัพเรือ มันเป็นประสบการณ์หนึ่งที่น่าประทับใจ "ทำให้ผมยิ่งรู้สึกชื่นชมกับความเสียสละในการรับใช้ชาติของนายทหารเหล่านี้" วิลสันกล่าว
ส่วน ยีน แฮ็คแมน นั้นมีความคุ้นเคยดีกับชีวิตทหาร เพราะเขาเคยทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมวิทยุนาวิกโยธิน ส่วนรางวัลออสการ์น่ะหรือ? เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับผู้สร้างด้วยความรู้ทางการทหารที่ขามี และนั่นเป็นส่วนสำคัญต่อบทที่เขาได้รับ เนื่องจากการสื่อสารทางวิทยุเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมระหว่างไรการ์ตและเบอร์เน็ต หลังจากที่คนหลังถูกสอยร่วงลงมา
แฮ็คแมนยังสร้างความประทับใจให้กับผู้สร้างด้วยความน่าเชื่อถือและน่าเกรงขามที่เขานำมาใส่ในตัวละคร อย่างที่ นาวาเอก เดวิด เคนเนดี้ อดีตนายทหารเกษียณอายุแห่งกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคของภาพยนตร์ เรียกว่า "ภาพลักษณ์ของผู้บังคับบัญชา"
"ยีนแสดงถึงความรู้สึก ที่ผู้บังคับบัญชามีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาออกมาได้อย่างชัดเจน" เคนเนดี้ กล่าว มันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของแฮ็คแมน "ไรการ์ตเป็นคนเคร่งครัดต่อกฏระเบียบ แต่เขาจะค้านหัวชนฝาถ้าเห็นว่าตัวเองถูก เขาเห็นความสำคัญของลูกน้องมาเป็นอันดับแรก นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาลงมือปฏิบัติการช่วยเหลือที่เต็มไปด้วยอันตราย แถมยังต้องเอาหน้าที่การงานของตัวเองเข้าไปเสี่ยงด้วย เพื่อเอาตัวเบอร์เน็ทคืนมา นั่นเป็นข้อผูกมัด ที่เสริมเข้าไปในการพยายามหลบหนีเอาตัวรอดของเบอร์เน็ท ซึ่งทำให้มันเป็นมากกว่า ภาพยนตร์แอ็คชั่น มันเป็นเรื่องของสปิริตอย่างแท้จริง ความสัมพันธ์ที่พัฒนาระหว่างไรการ์ตและเบอร์เน็ทเป็นพลังขับและหัวใจของภาพยนตร์"
นอกเหนือจากวิลสันและ แฮ็คแมน ซึ่งนำแสดงในภาพยนตร์แล้ว ยังได้ โอเลค ครูป้า ในบท โลคาร์ หัวหน้าพลร่มชาวเซิร์บ ผู้นำในการไล่ล่าเบอร์เน็ท ; เดวิด คีธ ในบท มาสเตอร์ ชีฟ โอ'มัลลีย์ นายทหารมือขวาของไรการ์ต ; เกเบรียล มาชท์ ในบท สแต็คเฮาส์ เพื่อนนักบินของเบอร์เน็ท และ ชาร์ลส มาลิค ไวธ์ฟิลด์ เป็น ร็อดเวย์ นายทหารยศสิบเอกที่ร่วมในปฏิบัติการช่วยชีวิต
"การคัดเลือก" ผู้กำกับสำหรับ BEHIND ENEMY LINES เป็นส่วนสำคัญในการทำงาน ผู้อำนวยการสร้าง จอห์น เดวิส ได้รับมอบหมายกน้าที่ในการตามหาตัวผู้กำกับ ที่เดวิสเรียกว่า "นอกระบบ" การค้นหานำไปสู่งานรางวัล 1999 MTV Music Video Awards - สปอตโฆษณาที่ออกอากาศ สำหรับวิดีโอเกมของ SEGA เป็น สปอตที่แตกต่างจากที่เคยเห็นมา : มันเหมือนกับภาพยนตร์สั้น ที่บอกเล่าเรื่องราวการผจญภัย/ไล่ล่าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ประกอบด้วยเฮลิค็อปเตอร์ , มอเตอร์ไซค์ และการแสดงเสี่ยงตาย กับสไตล์ภาพที่ไม่เหมือนใคร สปอตนี้เป็นผลงานกำกับของ จอห์น มัวร์ ซึ่งตอบรับการเข้ามาทำหน้าที่ผู้กำกับภาพยนตร์ครั้งแรกด้วยความเต็มใจ หลังจากที่สปอตของ SEGA ออกอากาศไม่กี่วัน
"จากสปอต 2-3 นาที เราสามารถบอกได้ว่า จอห์นเห็นสิ่งที่แตกต่างจากผู้สร้าง" เดวิส กล่าว "เขามีภาษาของตัวเองในการเล่าเรื่อง ให้ความใหม่และสดในการทำภาพยนตร์ กล้องเป็นเหมือนแขนของเขาที่กางออกไป" โอเว่น วิลสัน เสริม "จอห์นนำเสนอโลกที่แปลกและแตกต่างอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ในขณะที่เบอร์เน็ทผจญอยู่ในแดนของศัตรู จอห์นนำคุณ ,บรรดาผู้ชมออกจากที่ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย แล้วนำมาปล่อยเอาไว้ท่ามกลางนรก เช่นเดียวกับเบอร์เน็ท"
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่มัวร์ศึกษาเกี่ยวกับความขัดแย้งของชาวบอสเนียนและอุปกรณ์ทางการทหาร รวมทั้งเครื่องบิน , เฮลิค็อปเตอร์ ,เครื่องบินบรรทุกสัมภาระและอาวุธ ใน BEHIND ENEMY LINES มัวร์ใช้แบ็คกราวด์เหล่านี้เพื่อแสดงภาพกิจวัตรประจำวันในงการใช้ชีวิตบนเรือบรรทุกเครื่องบิน---ระบบตรวจสอบ , การฝึกฝน ,การรักษาระเบียบวินัย - นอกเหนือจากภาพที่ดู "โก้" ของชีวิตทหาร ความรู้จริงของเขาสร้างความประทับใจให้กับที่ปรึกษาด้านเทคนิค เดวิด เคนเนดี้ "จอห์นให้ความสำคัญกับวัฒนะธรรมทางทหาร"เคนเนดี้กล่าว "ปฏิกริยาที่คนทั่วไปมีต่อชีวิตทหารเรือ , อุปกรณ์ทางทหาร…จอห์นให้ความสำคัญกับมัน"
เมื่อเบอร์เน็ท ถูกบังคับให้ต้องดีดตัวออกจากเครื่องบินเจ็ทเหนือแดนของศัตรู-มันเป็นฉากที่มีให้เห็นในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง---ความชำนาญทางการทหารและมุมมองของมัวร์ถูกนำมาใช้ ด้วยการแสดงขั้นตอนจริงของการดีดตัวออกมา "แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการทำงานของกลไกจำนวน 164 ตัวที่เกิดขึ้นภายในเวลา 1.2 วินาที" มัวร์อธิบาย "เราต้องการให้เห็นถึงขั้นตอนเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ดีดตัวออกมาเฉยๆ"
มัวร์บอกว่าเขาใช้ "ทุกกลเม็ดในหนังสือ" -รวมทั้งการใช้กล้องช่วย สปีดของชัตเตอร์และความเร็วของเฟรม ใช้กล้องหลายตัวในการสร้างภาพที่น่าพิศวง-เพื่อจับแอ็คชั่นให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ "เรายังถามตัวเองต่อไปอีกว่า 'เราถ่ายทำฉากให้ยากขึ้นได้อย่างไร?' มัวร์กล่าว "ทุกฉากแอ็คชั่นเสี่ยงตายถูกออกแบบมาเพื่อดึงสายตา และดูแตกต่างออกไป แต่ 'เป็นแบบ' การแสดงเสี่ยงตายของฮอลลีวูด"
อีกตัวอย่างหนึ่งของเทคนิคที่มัวร์ใช้ คือฉากบริเวณโรงกลั่นน้ำมันใน บอสเนีย ที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิดเคลย์โมร์ นายทหารคนหนึ่งที่ไล่ล่าเบอร์เน็ทไปเหยียบมันเข้า ทำให้เกิดการระเบิด และแรงระเบิดไล่หลังเบอร์เน็ทที่กำลังหลบหนี
ฉากที่ต้องมีให้เห็นกันอยู่เป็นประจำก็คือ ฉากที่เบอร์เน็ทเจอสายสะดุด และพยายามใช้ความระมัดระวังในการข้ามหลบ แทนที่จะให้ฉากนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด มัวร์กลับเลือกใช้แอ็คชั่น ที่เขาเรียกว่า "เกือบจะดูน่าขัน"
แต่อารมณ์ลึกๆของฉากนี้ ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น "เขาต้องการให้ทุกแอ็คชั่นเป็นส่วนเสริมเนื้อเรื่อง" เขากล่าว มัวร์สอดแทรกเหตุการณ์ในเชิงเย้ยหยันและดูเหลวไหลน่าขันลงไปในหลายๆฉาก ซึ่งเป็นส่วนประกอบมุมมองของเขาในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นโลกพิลึกที่เบอร์เน็ทพลัดเข้าไปติดในนั้น"
เหตุการณ์ในเชิงเย้ยหยันมีให้เห็นในฉากการทำลายล้างด้วยกับระเบิด/กลุ่มคนที่ติดตามไล่ล่า ที่ที่เบอร์เน็ทเจอสายสะดุด เขาเห็นเด็กชาวบอสเนียตัวเล็กๆคนหนึ่งเล่นอยู่ท่ามกลางกับระเบิดอย่างไม่สะทกสะท้าน ต่อมา ขณะกำลังวิ่งหนีผู้ไล่ล่าที่ตามมาติดๆ เบอร์เน็ทเดินทางหลบหนีด้วยรถบรรทุกร่วมกับผู้โดยสารที่สวมแว่นตาเหมือนเอลวิส และเด็กหนุ่มถือปืนไรเฟิล สวมเสื้อเชิ้ตเป็นลายหน้าศิลปินแร๊พ ไอซ์ คิวบ์
ฉากเหล่านี้ เป็นที่สุดของการถ่ายทำ ใช้สถานที่ใกล้กับ บราติสลาวาเมืองหลวงของ สโลวาเกีย ที่ที่นักแสดงและทีมงานปักหลักอยู่ ฉากแอ็คชั่นของภาพยนตร์ใช้เวลาถ่ายทำหลายชั่วโมงจากโรงแรมที่ใกล้ที่สุด ในสถานที่ห่างไกลและโดดเดี่ยว และบนภูเขาคาร์พาเธียนที่งดงาม สถานที่เหล่านี้รวมทั้งโรงงานอิฐร้างและเมือง "ฮัค" ที่สมมติขึ้นมา ซึ่งทีมงานสร้างขึ้นจากแบบร่างภายใต้คำแนะนำของผู้ออกแบบฉาก นาธาน โครว์เลย์
เมื่อเบอร์เน็ทมาถึงเมือง "ฮัค" ซึ่งเป็นศูนย์กลางการต่อสู้ของพวกมุสลิม เขาและเพื่อนร่วมเดินทาง ได้รับการต้อนรับด้วยการระดมยิงเข้าใส่จากกองปืนใหญ่ ที่ทำลายเมืองทั้งเมือง เพื่อนำผู้ชมเข้าสู่เหตุการณ์ที่เหมือนกับฝันร้าย มัวร์ถ่ายฉากนี้ในแบบสารคดี ถ่ายทำภาพแบบไม่มีการตกแต่ง เขาหวังว่ามันจะให้ภาพเหมือนการดูข่าวถ่ายทอดสด
การออกแบบและการสร้างฮัค เป็นเพียงหนึ่งในงานที่ท้าทายสำหรับผู้ออกแบบฉาก นาธาน โครว์เลย์ นอกจากนี้เขายังสร้าง "ทะเลสาปน้ำแข็ง" บนยกพื้น ด้วยการทาสีสะท้อนแสงและลงแว๊กซ์ทับอีกทีเพื่อสร้างภาพของน้ำแข็ง จากนั้นโครว์เลย์ ได้ออกแบบรูปปั้นนางฟ้าสูง 40 ฟุต ที่ใบหน้าบางส่วนถูกยิงเสียหาย แสดงถึงสภาพของดินแดนที่ถูกทำลายเป็นเวลาหลายปี ทีมสร้างใช้เฮลิค็อปเตอร์บรรทุกชิ้นส่วนของนางฟ้า และสร้างมันขึ้นบนด้านหนึ่งของหน้าผา
ไม่เพียงแค่ความเย็นของน้ำแข็งที่มีส่วนจำเป็นต่องานสร้าง หิมะยังเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบฉากเช่นกัน โชคร้าย ที่สภาพอากาศไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไร - สโลวาเกียกำลังอยู่ในช่วงหน้าหนาวที่อบอุ่นที่สุด-ดังนั้นทีมสร้างจึงต้องสร้างป่าหิมะปลอมขึ้นมา โดยการขนย้ายมาจากลอนดอน เป็นการสั่งหิมะจำนวนมหาศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
ฉากภายในของเรือบรรทุกเครื่องบิน U.S.S.Carl Vinson กินพื้นที่สูดิโอ โคลิบา ในบราติสลาวา ถึง 3 สตูดิโอ เป็นฉากที่มีความละเอียดและวกวน จนทำให้นักแสดงและทีมงานหลงอยู่ในนั้นเป็นประจำ ทีมงานกำกับศิลป์จึงต้องทำแผนที่โครงสร้างขึ้นมา
โครว์เลย์กล่าวว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการสร้างอุปกรณ์ของเรือบรรทุกเครื่องบิน รวมทั้ง สวิตช์และหน้าปัดจำนวนหลายแสน , เรดาร์ , แผงควบคุม , ที่นั่งและเนวิเกเตอร์บอร์ด เพื่อหาอุปกรณ์ที่จำเป็น เขาเดินทางไปยังไอร์แลนด์ตะวันตก เพื่อถอดชิ้นส่วนโบอิ้ง 707 หลังจากนั้นทีมของเขาจัดการวางระบบสายไฟใหม่และประกอบขึ้นใหม่เพื่อทำให้มันใช้งานได้
สำหรับฉากภายนอก ทีมสร้างได้รับโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง นั่นคือการได้รับอนุญาตจาก กระทรวงกลาโหม (ซึ่งให้ความร่วมมือตลอดการถ่ายทำ) สำหรับการถ่ายทำบริเวณภายนอกของเรือบรรทุกเครื่องบินจริงสองลำ แม้ว่าจะได้รับความร่วมมือทางการทหาร แต่การถ่ายทำบนเรือบรรทุกเครื่องบินไม่ใช่เรื่องง่าย : มันใช้เวลา 6 เดือน ในการวางแผนและนำเสนอต่อกระทรวงกลาโหมเพื่อพิจารณาอนุญาตให้ทีมสร้างขึ้นไปอยู่บนเรือ
ทีมงานไม่กี่คนรวมทั้งนักแสดง ใช้เวลา 5 วันสำหรับการถ่ายทำฉากนำเครื่องขึ้นและลงจอด บนเรือ U.S.S.Constitution หลังการถ่ายทำในสโลวาเกียเสร็จสิ้นลง นักแสดงและทีมงานมีเวลาสองวันเพื่อรวมกลุ่มกัน ก่อนที่จะเดินทางออกสู่ทะเลด้วยเรือ U.S.S. Carl Vinson
มัวร์ใช้ช่วงเวลาหนึ่งสัปดาที่อยู่บนเรืออย่างคุ้มค่าที่สุด "จอห์นจำเป็นต้องอยู่บนเรือ ที่มีเครื่องบินเจ็ทนำเครื่องขึ้นอยู่เหนือหัวและบินอยู่ใต้เขา" จอห์น เดวิส กล่าว "เขาต้องการฉากที่ดีที่สุดเท่าที่คุณเคยเห็น ด้วยการพาตัวเองเขาไปอยู่ท่ามกลางอันตรายเพื่อให้ได้มา"
มัวร์พูดถึงการถ่ายทำบนเรือบรรทุกเครื่องบิน , การจับภาพ ,เสียงและความแรงของเครื่องบินขณะนำขึ้นและลงจอด ที่จริงมันเป็นงานที่สร้างสรรค์และท้าทายที่สุด "มันเป็นอภิสิทธิ์ของการทำงานที่ไม่น่าเชื่อ แต่กระนั้นก็เป็นงานที่ยาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย -ทั้งร้อนและเสียงดัง กับการทำหน้าที่ 24/7 ทุกวัน มันเหมือนการใช้ชีวิตอยู่ในถังขยะที่ถูกตีด้วยไม้เบสบอล" มัวร์กล่าวติดตลก
อย่างไรก็ตามความท้าทาย ประสบการณ์ สร้างความประทับใจต่อกองทัพสหรัฐแก่มัวร์ "เยี่ยมยอดมากที่ได้รับความสนับสนุนอย่างสูงสุดจากกระทรวงกลาโหม" ผู้กำกับกล่าว "แต่สิ่งที่น่าจดจำยิ่งไปกว่านั้น การทำงาน BEHIND ENEMY LINES เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับ 'บรรดานายทหาร' : นักบิน , ช่างเครื่อง และช่างเทคนิค ความช่วยเหลือของพวกเขาเป็นปรากฏการณ์พิเศษ ผมทำภาพยนตร์เพื่อพวกเขา--จบ--
-อน-