กรุงเทพฯ--2 ส.ค.--อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ
อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ยิ้มครึ่งปีแรกยอดโตสูง 30% เผยภาพรวมอุตสาหกรรมอีเว้นท์คงที่ ตลาดปรับตัวเข้มข้นเปิดโปรเจคครึ่งปีหลัง ครีเอทีฟ บิซซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์มาแรง เร่งส่งความคิดสร้างสรรค์รุกไลน์ธุรกิจใหม่ๆ ทั้งใน และต่างประเทศ
อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ เผยภาพรวมตลาดอีเว้นท์ครึ่งปีแรก 2560 คงที่ ไม่หวือหวา กลุ่มธุรกิจด้านเอ็นเตอร์ เทนเม้นท์คึกคัก ด้านการเปิดตัวสินค้า และการทำโปรโมชั่นสินค้า และบริการ เจาะกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทำให้เป็นอีเว้นท์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคจริงๆ เป็นผลจากการที่นักตลาด Wait & See สภาพการณ์ของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเม็ดเงินที่ใช้คุ้มค่ามากขึ้น เกิดการแข่งขันท่ามกลางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันเข้มข้น พร้อมเผยครึ่งปีแรกผลประกอบการเติบโตสูงถึง 30% และเปิดแผนโปรเจคครึ่งปีหลังของอินเด็กซ์ฯ รุกเข้าไลน์ธุรกิจใหม่ๆ ที่ต้องการใช้ 'ความคิดสร้างสรรค์' ในการต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ กับกลุ่มธุรกิจครีเอทีฟ บิซซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เทรนด์ธุรกิจ มาแรง เติบโตทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนงานต่างประเทศสูงถึง 10 % มั่นใจสิ้นปีปิดยอด 1,700 ล้านบาทตามเป้า
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการตลาดเชิงสร้างสรรค์อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน (จัดอันดับโดยนิตยสารสเปเชี่ยล อีเว้นท์ แม็กกาซีน ประเทศสหรัฐอเมริกา) กล่าวว่า "จากสถานการณ์ตลาดอุตสาหกรรมอีเว้นท์ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี หลายธุรกิจเริ่มกลับมาโปรโมทสินค้า และบริการมากขึ้น ด้านนักการตลาดต่างใช้เงินเพื่อจัดแคมเปญต่างๆ คึกคักมากขึ้น แต่ธุรกิจที่โดดเด่นมากที่สุด คือ ด้านธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ สังเกตได้จากมีคอนเสิร์ตทั้งในประเทศไทย และจากต่างประเทศที่มีคิวต่อเนื่องจนถึงปลายปี รวมถึงละครเวที และงานแสดงต่างๆ รองลงมาเป็นด้านการเปิดตัวสินค้า และบริการต่างๆ ในธุรกิจหลากหลาย อาทิ ด้านอสังหาริมทรัพย์ ด้านสินค้าอุปโภค และบริโภค ด้านยานยนต์ ด้านการธนาคาร ด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม และด้านสินค้าแฟชั่น เป็นต้น เรียกว่ากระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ด้วยโปรโมชั่นหลากหลาย ซึ่งจะได้เห็นสภาพการณ์แบบนี้ไปจนถึงปลายปีอย่างแน่นอน และจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของตลาดที่เน้นเชื่อมโยงของเทคโนโลยี และนวัตกรรมกับสินค้า และบริการ สอดคล้องกับนโยบาย 4.0 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยบวกการเกิดขึ้นของผู้ประกอบหน้าใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว ที่ใช้โอกาสนี้ในการแจ้งเกิดธุรกิจได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เช่นเดียวกับอินเด็กซ์ฯ ได้ปรับตัว และปรับยุทธศาสตร์ของบริษัทล่วงหน้าถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี 2011 เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ โดยส่งออก 'ความคิดสร้างสรรค์' ในการบริหารจัดการ และสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (CLMV) ผนวกกับการปรับโครงสร้างของกลุ่มธุรกิจใหม่ ล่าสุดเผยผลประกอบการครึ่งปีแรก ยอดโตสูงถึง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน 2016 โดยปีนี้มุ่งให้น้ำหนักกับกลุ่มธุรกิจครีเอทีฟ บิซซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ (Creative Business Development) ที่ให้บริการด้านการพัฒนา แบรนดิ้ง และสร้างประสบการณ์พิเศษ สู่การสร้างมูลค่าในรูปแบบของแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเทรนด์การทำธุรกิจที่มาแรง และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีการเติบโตสูงที่สุดถึงร้อยละ 131 เมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ส่งผลให้ลูกค้าของอินเด็กซ์ฯ มาจากหลากหลายวงการ เนื่องด้วยความต้องการของลูกค้า ทั้งในส่วนของคอปเปอร์เรท ของภาคเอกชน และรัฐบาล ต่างต้องการสิ่งใหม่ๆ ให้กับลูกค้าอย่างมีเอกลักษณ์ โดยใช้เรื่องของ Creativity-added สูง โดยมีงานในแบคล็อกมากกว่า 10 โปรเจค ซึ่งอยู่ในขั้นตอน ของการพัฒนา ดีไซน์ ก่อสร้าง และการบริหารจัดการ รวมถึงมีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการทำ ศึกษาเรื่องของแผนการตลาด เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง ทั้งในแง่มุมของลูกค้า ผู้บริโภค และธุรกิจ ควบคู่ไปด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด"
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน กล่าวเพิมเติม "ด้านสัดส่วนของงานอีเว้นท์นั้นไม่ได้ลดลง แต่จะถูกนำไปปรับใช้ ในต่างประเทศมากขึ้นในรูปแบบต่างๆ ทั้งในเชิงรูปแบบของแหล่งท่องเที่ยว (Brand & Tourist Attraction) การพัฒนาคอนเซ็ปต์ และไอเดียใหม่ๆ โดยเป็นหนึ่งในวิธีการกระจายความเสี่ยงไปในด้านอื่นๆ โดยใช้ความแกร่งในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงด้านทีวี และมัลติมีเดีย ได้วางแผนบุกต่างประเทศ โดยใช้กลยุทธ์ที่เน้นเรื่องของคอนเท้นต์ที่มีความเป็นสากล (Universal) มากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนของกลุ่มธุรกิจ 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มธุรกิจ ครีเอทีฟ บิซซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ (Creative Business Development) คิดเป็นร้อยละ 39 2.กลุ่มมาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิส (Marketing Service) คิดเป็นร้อยละ56% และ3.กลุ่มไอ-โปรเจค (I-Project) คิดเป็นร้อยละ 5% มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มั่นใจสิ้นปี 2560 สามารถปิดยอดตามเป้า 1,700 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน พร้อมเพิ่มสัดส่วนของงานต่างประเทศสูงถึง 10% เนื่องด้วยจุดยืนใหม่ที่เราเป็น Creative Business Solutions ที่รองรับงานความคิดสร้างสรรค์ได้ทุกประเภททั้งในประเทศ และต่างประเทศ"