กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ. พริมา มารีน ("PRM") ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจรซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในปีนี้ ด้านผู้บริหารมั่นใจศักยภาพการดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้บริการกองเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า หลังจาก บมจ.พริมา มารีน ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นและแบบไฟลิ่งของ บมจ.พริมา มารีน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ บมจ.พริมา มารีน เป็นผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลว (ธุรกิจเรือขนส่งฯ) 2.ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป (ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU) 3.ธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (ธุรกิจเรือ Offshore) และ 4. ธุรกิจบริหารจัดการเรือ
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ปัจจุบัน บมจ.พริมา มารีน มีทุนจดทะเบียน 2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยทุนที่ออกและชำระแล้วมีจำนวน 2,000 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 26 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย บมจ.พริมา มารีน จำนวนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ Austin Asset Limited จำนวน 105 ล้านหุ้น และบริษัท นทลิน จำกัด จำนวน 45 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 ร้อยละ 4.2 และร้อยละ 1.80 ตามลำดับ ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บมจ.พริมา มารีน จะนำไปใช้ลงทุนเรือลำใหม่และขยายกองเรือในธุรกิจเรือขนส่งฯ ธุรกิจเรือขนส่งและการจัดเก็บ FSU และธุรกิจเรือ Offshore นอกจากนี้ บางส่วนจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและใช้สำหรับชำระคืนเงินกู้ต่อไป
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) ("PRM") กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการกองเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 กองเรือที่กลุ่มพริมา มารีนและกิจการร่วมค้าเป็นเจ้าของที่ให้บริการมีจำนวนทั้งสิ้น 22 ลำ มีขนาดน้ำหนักบรรทุกรวม 2,219,002 DWT นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีเรือขนส่งน้ำมันที่ว่าจ้างจากบริษัทภายนอก เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจรองรับการให้บริการแก่ลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 ธุรกิจเรือขนส่งฯ กลุ่มพริมา มารีนและกิจการร่วมค้า มีกองเรือที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นเจ้าของ ให้บริการจำนวน 13 ลำ มีขนาดน้ำหนักบรรทุกรวม 251,183 DWT เพื่อให้บริการขนส่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีจากโรงกลั่น คลังน้ำมันหรือท่าเรือต้นทาง โดยมีเส้นทางการขนส่งในประเทศและระหว่างประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ส่วนธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU มีเรือให้บริการจำนวน 6 ลำ ที่มีถังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ 7-17 ถังต่อลำ รวมขนาดน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,776,065 DWT เพื่อให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันแบบคลังลอยน้ำตามปริมาณและระยะเวลาที่ลูกค้ากำหนด ซึ่งเรือ FSU ของบริษัทฯ จอดในน่านน้ำระหว่างประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจซื้อขายน้ำมันของภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการเรือ offshore จำนวน 3 ลำ เพื่อสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลแก่ลูกค้าบริษัทสำรวจและขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล โดยมีธุรกิจให้บริการได้แก่ เรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมัน (FSO) ธุรกิจเรือขนส่งและที่พักอาศัยสำหรับพนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม (AWB) และธุรกิจเรือสนับสนุนลาก-จูง และจัดการสมอ (AHTs) โดยบริษัทฯ มีเรือ FSO จำนวน 2 ลำ ขนาดบรรทุกสูงสุด 191,754 DWT และมีเรือขนส่งและที่พักอาศัยสำหรับพนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม (เรือ AWB) อีกจำนวน 1 ลำ รองรับได้ 300 คน
ขณะเดียวกัน ยังให้บริการบริหารจัดการเรือแก่เรือขนส่งน้ำมัน เรือ FSU เรือ FSO เรือ AWB และเรือรับส่งคนประจำเรือ ที่บริษัทฯ ทำหน้าที่บริหารจัดการด้านเทคนิค ด้านคนเรือและการบริหารงานเพื่อความปลอดภัยแก่คนประจำเรือ สินค้าและตัวเรือ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลักอีกด้วย
"เรามีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน และปิโตรเลียมเหลวอย่างครบวงจร ตั้งแต่การขนส่งน้ำมันทางทะเล การจัดเก็บน้ำมันบนคลังเรือลอยน้ำ การให้บริการทางเรือที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ทำให้เรามีขีดความสามารถแข่งขันในด้านการให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ โรงกลั่นน้ำมันและผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเอเชียแปฟิกที่เพิ่มขึ้น" นายชาญวิทย์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พริมา มารีน กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนจะใช้เงินที่ได้จากระดมทุนในครั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีเหลวทางเรือ การสนับสนุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลและบริหารจัดการกองเรือ โดยมีแผนขยายกองเรือที่สำคัญในระหว่างปี 2560-2562 ดังนี้
1. ธุรกิจเรือขนส่งฯ จะลงทุนเรือขนส่งขนาดบรรทุก 3,000-10,000 DWT ประมาณ 9 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,340 ล้านบาท คาดรองรับปริมาณขนส่งสินค้าจากการลงทุนในครั้งนี้เพิ่มขึ้น 3,800 ล้านลิตรต่อปี และลงทุนเรือขนส่งขนาดใหญ่ ประมาณ 11 ลำ ประกอบด้วยเรือขนาดประมาณ 14,000 DWT เรือ MR เรือ LR เรือ Aframax และเรือ VLCC เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจขนส่งฯ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,890 ล้านบาท คาดจะช่วยเพิ่มปริมาณขนส่งอีก 16,700 ล้านลิตรต่อปี
2. มีแผนลงทุนขยายธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU เพื่อเพิ่มศักยภาพการกักเก็บน้ำมันอีก 4 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,200 ล้านบาท รับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 3. จะพิจารณาการลงทุนในเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่งขุดเจาะน้ำมัน (เรือ FSO) ประมาณ 2 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,090 ล้านบาท รองรับการเติบโตของธุรกิจการปฏิบัติงานการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันดิบกลางทะเลทั้งในน่านน้ำไทยและประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับแผนการลงทุนนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขนส่งสินค้าทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ขยายตลาดเรือขนส่งสินค้าปิโตรเคมีซึ่งมีโอกาสเติบโตสูง รวมถึงขยายขอบเขตการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังเส้นทางการเดินเรือใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น เส้นทางไทย-เมียนมาร์ ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ตลอดจนการขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะฐานลูกค้าในประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีโอกาสเติบโตสูง