กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์
หลังจัดทำผลสำรวจในกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่และพบว่า 94% ของคุณแม่คนไทยรู้สึกไม่มั่นใจในสัญชาตญาณการเลี้ยงลูกของตนเอง ส่วนอีก 83% มีความเครียดและวิตกกังวลเรื่องการเลี้ยงลูก เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ กลุ่มผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อทารกตั้งแต่แรกเกิด จึงจัดงานเสวนา " ผิดหรือถูก เลี้ยงลูกแบบไหน เสริมพัฒนาการลูกดีที่สุด?" ตามพันธกิจของแบรนด์เบบี้มายด์ในการสร้างกำลังใจและความเชื่อมั่นให้กับคุณแม่มือในการเลือกสรรวิธีการเลี้ยงลูกตามสัญชาติญาณของความเป็นแม่ที่รู้ดีที่สุดว่าสไตล์การดูแลแบบใดที่เหมาะกับธรรมชาติของลูกตน โดยได้เชิญ 4 สุดยอดคุณหมอมาร่วมไขทุกข้อสงสัยในการเลี้ยงลูกแต่ละสไตล์ ได้แก่ ศาสตราจารย์ พญ.อุมาพร ตรังคสมบัติ จิตแพทย์มือ 1 ของประเทศไทยประสบการณ์มากกว่า 30 ปี และผู้ก่อตั้งเพจปั้นใหม่ แพทย์หญิง เสาวภา พรจินดารักษ์ จากเพจหมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก (ผู้เชี่ยวชาญกุมารเวช ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม) ทันตแพทย์หญิงจีรภา ประพาศพงษ์ จากเพจหมอภา (ผู้เขียนหนังสือ 30 หลักคิด ติดปีกลูก) นายแพทย์ถิรชัย ตันสันติวงศ์ กุมารแพทย์ระบบประสาทที่ได้รับความไว้วางใจจากเหล่าเซเลบริตี้ โดยในงานมีเหล่าบล็อกเกอร์แม่และเด็ก รวมทั้งคุณแม่เซเลบริตี้คนดัง อาทิ เจนนิส (โสภณพนิช) ยังพิชิต, วาริธร กันท์ไพบูลย์, พิมพ์ภัทร ยมนาค, ชาลียา พสวงศ์, พรพิมล ธรรมวัฒนะ, ทพญ.พิชชุดา ทัพพะทัต ฯลฯ ที่จูงลูกน้อยมาร่วมรับฟังและแชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจในธรรมชาติของลูก
นางสาวสุทิพา ปัญญามหาทรัพย์ Chief Marketing Officer บริษัทโอสถสภา จำกัด เผยถึงข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มคุณ แม่รุ่นใหม่ว่า "เมื่อเร็วๆ นี้ เบบี้มายด์ได้จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นของคุณแม่รุ่นใหม่ร่วมกับ Asian parent เว็บไซต์ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงลูกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเด็นเรื่องการเลี้ยงดูลูกในปัจจุบัน เราพบประเด็นที่น่าสนใจหลายประเด็น อาทิ 94% ของคุณแม่ที่ถูกสำรวจรู้สึกไม่มั่นใจในสัญชาตญาณการเลี้ยงลูกของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องวิธีการเลี้ยงลูกที่ดีที่สุดตามสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่ตนเองคิดว่าถูกต้องและใช้ได้ผล 83% ยังบอกอีกว่า ตนมีความกังวลและมีความเครียดบ่อยครั้งเรื่องการเลี้ยงลูก นอกจากนี้ คุณแม่มากกว่าครึ่งยังยืนยันอีกว่า คนรอบข้างล้วนมีอิทธิพลในการเลี้ยงลูกของตน ตั้งแต่พ่อแม่ของตนเอง พ่อแม่สามี แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ต"
"สำหรับเบบี้มายด์ เราเชื่อในสัญชาตญาณความเป็นแม่ ความคิดเห็นของคนอื่นๆ รอบตัว ไปจนถึงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหรือสิ่งที่เราเห็นในอินเทอร์เน็ตอาจทำให้คุณแม่เกิดความลังเลบ้างในความเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเอง แต่เบบี้มายด์เชื่อมั่นว่า ธรรมชาติดีที่สุดและคนเป็นแม่ย่อมเข้าใจธรรมชาติของลูกตนเองได้มากที่สุด เราจึงมีพันธกิจที่จะส่งเสริมความมั่นใจและเป็นพลังใจให้คุณแม่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณความเป็นแม่ของตนเอง และเราพร้อมที่จะยืนอยู่เคียงข้างคุณแม่ทุกคนในการเลี้ยงลูกตามสไตล์ของตนเอง ซึ่งไม่มีผิดไม่มีถูกและไม่ต้องทำตามใคร เพราะสัญชาตญาณความเป็นแม่นี่เองที่จะชี้แนะแนวทางในการเลี้ยงลูกที่ดีที่สุด พร้อม ๆ กับเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์พื่อทารกตัวน้อย จากสารสกัดจากธรรมชาติที่ดีที่สุด เพื่อให้อย่างน้อยเป็นหนึ่งเรื่องที่คุณแม่สามารถวางใจและคลายกังวลว่าได้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกสุดที่รัก" นางสุทิพา กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับงานในวันนี้ เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ได้รับเกียรติจาก 4 สุดยอดคุณหมอที่มาแชร์หลากหลายแนวคิดและสไตล์การเลี้ยงลูกพร้อมคอนเฟิร์มว่าจะเลี้ยงอย่างไรก็ไม่มีผิดไม่มีถูก
เริ่มที่ศาสตราจารย์ พญ.อุมาพร ตรังคสมบัติ กล่าวว่า "จากสมัยก่อนที่การเลี้ยงลูกเป็นไปตามบุญตามกรรม ไม่ได้มีหลักวิชาอะไร แต่ปัจจุบันมีองค์ความรู้ภายใต้แนวคิด positive youth development หรือการพัฒนาเชิงบวก ซึ่งเป็นผลงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมีชื่อหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาที่นำไปใช้ในงานพัฒนาเด็กหลายประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีนั้น ต้องการมากกว่าร่างกายที่แข็งแรง การเรียนหนังสือเก่ง หรือมีนิสัยดี ฯลฯ ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะมีความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรคได้ แต่จะต้องมีการสร้างคุณลักษณะบางอย่างให้เกิดขึ้นในตัวของเด็กอยู่ 8 ข้อ โดยอาจารย์ได้นำหลักการนี้มาผสมผสานกับความรู้ด้านจิตวิทยาพัฒนาการและจิตเวชศาสตร์เกี่ยวกับการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตรวมทั้งpositive psychology มาได้แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างรากแก้วของชีวิตที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นในตัวของลูก ได้แก่ตัวตนที่แข็งแกร่ง วินัยและความสามารถที่จะบังคับตน อุปนิสัยและค่านิยมบวก ทักษะชีวิต ความรักที่จะเรียนรู้ สร้างความสุขในตนเองได้ ทั้งนี้เครื่องมือสร้างรากแก้วที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตที่ดีของพ่อแม่ที่ต้องสามารถจัดการกับความเครียดในตนเองและดูแลชีวิตคู่ให้ดี ทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสงบสุข รวมทั้งมีเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก ทั้งการสื่อสารที่ดี การสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวก การจัดการกับอารมณ์ของลูกอย่างเหมาะสม การสร้างวินัยในชีวิตประจำวัน การรับมือกับพฤติกรรมของลูกอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความนับถือตนเอง แต่ทั้งหมดนี้พ่อแม่ก็ต้องไปปรับใช้ให้เหมาะกับแต่ละคน เพราะต้นไม้แต่ละต้นนั้นแตกต่างกัน "
ด้านแพทย์หญิงเสาวภา พรจินดารักษ์ กล่าวว่า "หมอเชื่อว่า คนเป็นพ่อแม่ย่อมต้องการส่งเสริมพัฒนาการลูกให้เป็นไปตามศักยภาพของเขา เพื่อที่ลูกจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ได้ทำงานตามความถนัดหรือตามความชอบของตนเองได้อย่างมีความสุข แต่ในชีวิตจริง แต่ละขั้นตอนของพัฒนาการ เราต้องเผชิญกับอารมณ์หรือพฤติกรรมต่อต้านตามวัยของลูก ซึ่งทำให้การส่งเสริมพัฒนาการตามธรรมชาติของลูกนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอก็คือ สัมพันธภาพที่ดีกับลูกเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ลูกรู้สึกเชื่อมโยงและมั่นใจในตัวพ่อแม่ ลูกก็จะรู้สึกมั่นใจในตัวเขาเองได้ การเลี้ยงลูกเชิงบวกจึงเข้ามาช่วยตอบโจทย์ เพราะเป็นการเลี้ยงดูที่เน้นการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ไม่เน้นลงโทษ ไม่ใช้อารมณ์ เน้นการฝึกให้ลูกคิดวิเคราะห์ และร่วมตัดสินใจ แม้ผลสุดท้ายลูกตัดสินใจผิดพลาด ก็ต้องเรียนรู้ผลของการกระทำตนเอง โดยพ่อแม่ไม่ซ้ำเติม แต่พ่อแม่จะช่วยเสริมพลังใจให้ลูกคิดเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ ในครั้งหน้าเมื่อเราใช้วินัยเชิงบวก ลูกจะค่อยๆ คิดเป็น รับผิดชอบเป็น ไม่ต้องรอคำสั่งหรือคำบ่น เวลาในแต่ละวันจึงไม่ต้องหมดไปกับการดุหรือจ้ำจี้จำไช แล้วเราจะเหลือเวลานั่งลงทำกิจกรรมกับลูก พูดคุยกับลูก ธรรมชาติหรือความถนัดที่เป็นตัวของเขาเอง ก็จะปรากฏออกมาให้เราเห็นง่ายขึ้น รวมทั้งเรายังรู้สึกผ่อนคลายมากพอที่จะปล่อยให้ลูก เป็นอะไรก็ได้ในรูปแบบของเขา ได้มองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่มากมาย เมื่อใดก็ตามที่ลูกรู้รับผิดชอบและได้เปิดเผยความถนัดตามธรรมชาติของตนเองออกมา เมื่อนั้นลูกก็จะสามารถต่อยอดสิ่งที่เขาเป็น ไปจนถึงฝั่งฝัน ไม่ท้อถอยหรือล้มเลิกกลางทางง่ายๆค่ะ"
ส่วนทันตแพทย์หญิงจีรภา ประพาศพงษ์ บอกว่า "ตัวหมอเองมีความสนใจเรื่องการพัฒนาตนเองเพื่อความสำเร็จอยู่แล้ว มักพบข้อมูล จากปราชญ์ความสำเร็จในระดับโลก ย้ำให้พ่อแม่สอนหลักคิดสำคัญให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก จึงได้นำมาผนวกเข้ากับข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาเด็ก ซึ่งในความเห็นของหมอ วิธีการเลี้ยงลูกที่จะช่วยเสริมพัฒนาการของลูกได้ดีที่สุด คือวิธีการเลี้ยงลูกตามธรรมชาติของเด็กแต่ละคน เข้าใจธรรมชาติของเด็กแต่ละวัย และรู้ธรรมชาติความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เมื่อลูกได้รับการเติมเต็มในส่วนนี้ จะพัฒนาความรู้สึกดีที่มีต่อตนเอง หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ คือเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้รอบด้าน ให้ลูกได้ใช้เวลาค้นหาว่าตัวเองชอบอะไร โดยไม่ตีกรอบ พัฒนาสุขภาพกายและสุขภาพใจควบคู่กันไป นอกเหนือจากนั้นคือ เน้นส่งเสริมทักษะที่จำเป็น เช่น ทักษะชีวิต ทักษะเอาตัวรอด การเป็นเจ้านายเทคโนโลยี ทักษะของคนสำเร็จ ระหว่างทางเดินต้องเต็มไปด้วยความรักแบบปราศจากเงื่อนไขและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดเส้นทาง จะเลี้ยงลูกให้สำเร็จได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องมีความสุขก่อน เมื่อมีความสุขการเลี้ยงลูกของเราจะดี เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกได้ ที่สำคัญ ลูกจะมีความสุขไปด้วย พ่อแม่ที่ประสบความสำเร็จ เลี้ยงลูกให้มีความเคารพนับถือตนเอง ภาคภูมิใจในตนเอง มองภาพตัวเองในทางที่ดี มีความเชื่อมั่นในตน พร้อมกับช่วยลูกให้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะที่จำเป็น ที่ต้องใช้ในชีวิตของเขาเมื่อโตขึ้นค่ะ"
สำหรับนายแพทย์ ถิรชัย ตันสันติวงศ์ กล่าวว่า "การเลี้ยงลูกไม่ได้มีวิธีที่ถูกต้องสำเร็จรูปเสมอไป พี่น้องในครอบครัวเดียวกันก็ไม่สามารถเลี้ยงด้วยวิธีการเดียวกันได้ เพราะพื้นฐานทางครอบครัวและพื้นฐานด้านจิตใจของเด็กแต่ละคนต่างกัน การเลี้ยงลูกจึงต้องสังเกตอุปนิสัยและจิตใจของเด็กเป็นสำคัญซึ่งแน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ย่อมรู้จักลูกดีที่สุด ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสนใจนอกเหนือจากพัฒนาการด้านร่างกายก็คือพัฒนาการด้านสมองและระบบประสาทซึ่งเราสามารถกระตุ้นพัฒนาได้ตั้งแต่วัยทารก เรื่อยมาจนถึงวัย 1-2 ขวบจากวัยเด็กเล็กจนถึงเด็กโต คุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากให้ลูกเก่งและฉลาดที่สุด นั้นคือ การที่เด็กมี IQ ที่ดีซึ่งมีหลายปัจจัยเป็นตัวประกอบไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ อาหาร รวมถึงการกระตุ้นพัฒนาการเด็กตามวัย นอกจากนี้เราควรให้ความสำคัญเรื่อง EQ เพิ่มขึ้น โดยเน้นไปในเรื่องการหัดแก้ปัญหาด้านอารมณ์ และทัศนคติของเด็กในด้านต่างๆ ในมุมมองของผม พ่อแม่ที่ประสบความสำเร็จคือพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแล้วลูกให้รู้จักที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ และมีสุขภาพกายและใจที่ดี"
โดยงานเสวนา "ผิดหรือถูก เลี้ยงลูกแบบไหน เสริมพัฒนาการลูกดีที่สุด?" ยังได้รับความสนใจจากเหล่า เซเลบริตี้มากมาย อาทิ คุณอุ๊-เจนนิส (โสภณพนิช) ยังพิชิต คุณแม่คนสวยที่เลี้ยงฝาแฝดจาณีนและเจสแบบเน้นมารยาทจนเป็นขวัญใจชาวโซเชียลมีเดีย คุณเปเป้-วาริธร กันท์ไพบูลย์ เจ้าของแบรนด์ Varinthorn ที่ผสมผสานบทบาทคุณแม่และแฟชั่นดีไซเนอร์อย่างลงตัวโดยนำแรงบันดาลใจจากลูกสาวมาต่อยอดเป็นไลน์เสื้อผ้า Varinthorn Kids คุณพิม-พิมพ์ภัทร ยมนาค คุณแม่ที่หยิบยกประสบการณ์ที่คลุกคลีเด็กจากเป็นรองผู้อำนวยการและทายาทผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ Bangkok Prep International School มาเลี้ยงน้องพิพพา คุณเชอรี่-ชาลียา พสวงศ์ สะใภ้และผู้บริหารห้างทองฮั่วเซ่งเฮงที่ยังไม่ทิ้งความเป็นคุณแม่สายฟิตด้วยการรักษาหุ่นเฟิร์มอย่างต่อเนื่อง พรพิมล ธรรมวัฒนะ ภรรยาคนสวยทายาทตลาดยิ่งเจริญที่เชื่อมั่นในการให้เวลาลูกอย่างเต็มที่จึงยอมลาออกจากการเป็นแอร์โฮสเตสมาเลี้ยงลูกเต็มตัว รวมทั้งคุณหมอขวัญ-ทพญ.พิชชุดา ทัพภะทัต คุณแม่สายเที่ยวที่พาลูกไปทุกที่ด้วยความเชื่อในการเรียนรู้ผ่านโลกกว้าง
คุณอุ๊-เจนนิส (โสภณพนิช) ยังพิชิต เล่าว่า "ชอบมีคนถามเคล็ดลับเลี้ยงลูกจากอุ๊แต่อยากจะบอกว่าถึงอุ๊บอกก็ต้องเอาไปปรับอยู่ดี อย่างตอนท้องลูกแฝดนี่กังวลมากบอกเพื่อนทุกคนว่าต้องมาช่วยเลี้ยง แต่พอคลอดแล้วกลับกลายเป็นว่าอุ๊เชื่อในเซนส์ของตัวเอง 80 เปอร์เซนต์เลย มีแค่ 20 เปอร์เซนต์ที่อาจจะอ่านตำราต่าง ๆ บ้าง เพราะลูกแต่ละคนมีธรรมชาติที่แตกต่างกันจริง ๆ แม้แต่จาณีนกับเจสที่เป็นแฝดท้องเดียวกันยังไม่เหมือนกันเลย ซึ่งตอนแรกอุ๊ก็เป็นคุณแม่สายอนามัย โดยเฉพาะกับน้องจาณีนเพราะเป็นผู้หญิงดูอ่อนแอกว่าน้องเจส แต่พอเริ่มโตขึ้นเราก็ขยับมาเป็นคุณแม่สายแอดเวนเจอร์ เพราะเราเห็นว่าการพาไปทำกิจกรรมต่าง ๆ บวกกับการที่จาณีนกับเจสเล่นกันเองนั้นช่วยเสริมพัฒนาการซึ่งกันและกันดีมาก ตอนนี้อุ๊ไปพาน้องไปกระบี่ปีละ 2 ครั้งจากตอนแรกที่ลูกค่อนข้างกลัวขึ้นเรือก็เลยให้เริ่มจากลำเล็ก ๆ ตอนนี้ก็ขยับมาเป็นสปีดโบ๊ทได้แล้ว ส่วนที่ไหนที่ยังไปไม่ได้ก็เปิดยูทูปให้ดูเอา ซึ่งพ่อแม่บางคนอาจจะต่อต้านการให้ลูกดูโซเชี่ยลมีเดียแต่สำหรับลูกเราเห็นว่าช่วยให้เขาความคิดกว้างไกลขึ้น และมีความกล้าแสดงออกเหมือนที่เห็นจากคลิปในอินสตาแกรมค่ะ"
ด้านคุณพิม-พิมภัทร์ ยมนาค วงประศาสตร์ เผยว่า "พิมเลี้ยงน้องพิพพาแบบไม่ได้เครียดมากเพราะด้วยความที่ทำโรงเรียนBangkok Prep International School เลยทำให้เรามองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในการเลี้ยงลูกแต่ละอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่น่าตื่นกลัว เช่น เวลาลูกหรือแม้แต่พ่อแม่ร้องไห้เวลาให้ลูกไปโรงเรียนเป็นวันแรก ก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องผ่านไปให้ได้ อีกทั้งพิมยังเป็นคุณแม่ทำงานเต็มเวลา เลยยิ่งต้องรู้จักปล่อยวาง บางเรื่องพี่เลี้ยงช่วยดูได้ก็ไม่ต้องลงทุกรายละเอียด แต่เรื่องความปลอดภัยของลูกพิมใส่ใจเต็มที่ เช่น ทำราวกันตกบันได เพื่อให้เราสบายใจและโฟกัสกับงานได้เต็มที่ ส่วนการที่เราไม่มีเวลาจะอยู่กับเขาตลอดก็จะส่งไปเข้า summer camp ให้ได้ไปพบปะเพื่อนและเสริมทักษะอื่นๆ ตอนนี้น้องก็เรียน pre school อยู่ แม้ตอนนี้จะยังพูดแค่เป็นคำ ๆ เพราะเพิ่งแค่ 2 ขวบ แต่ก็อยากให้น้องได้เริ่มเรียนรู้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษตั้งแต่เรก รวมทั้งให้เล่นของเล่นแบบ sensory play เพื่อฝึกกล้ามเนื้อและกระตุ้นประสาทสัมผัส"
ปิดท้ายที่คุณแม่สายทุ่ม(เวลา) คุณนอร์ท-พรพิมล ธรรมวัฒนะ ที่นานๆ จะออกงานทีเผยว่า "พอแต่งงานกับคุณเดียร์ (แทนทอง ธรรมวัฒนะ) ก็ลาออกจากการเป็นแอร์โฮสเตส ยิ่งพอมีน้องเชอลีนน์ก็รู้สึกว่ายังไม่อยากกลับไปทำงานเพราะอยากจะให้เวลากับลูกให้เต็มที่เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับลูกก่อนที่จะถึงวัยเข้าโรงเรียน ไม่ว่าจะพาไปว่ายน้ำ เข้ากิจกรรมกลุ่มเพื่อเรียนรู้การเข้าสังคม สอนทักษะการช่วยเหลือตัวเองต่าง ๆ เช่นใส่รองเท้า กินข้าว แต่งตัว ซึ่งพอลูกเห็นว่าแม่แฮ๊ปปี้กับสิ่งที่เขาทำได้ เขาก็ชอบและรู้สึกสนุกที่ได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง นอกจากนี้นอร์ทยังเชื่อว่าการให้เวลาลูกเต็มที่ยังช่วยทำเราเรียนรู้ว่าเขาชอบทำอะไร โดยตอนนี้นอร์ทสังเกตว่าน้องชอบเล่นบล็อกไม้ เวลาเล่นจะมีสมาธิจดจ่อมาก ทั้งนี้ความกังวลต่าง ๆของคนเป็นแม่เป็นเรื่องปกติ นอร์ทเชื่อในสัญชาติญานความเป็นแม่ แต่เราก็เพิ่งมีลูกคนแรกเลยยังหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตบ้างเพื่อติดตามนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งที่สุดแล้วเราก็ไม่รู้ว่าทำได้ถูกต้อง 100% หรือไม่ แต่เราก็จะทำให้ดีที่สุด ดูแลลูกเราให้ดีที่สุดตามธรรมชาติของน้องเชอลีนน์"
หลังจากนี้เบบี้มายด์จะเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เข้าใจธรรมชาติของลูกแต่ละคนดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำในการเวิร์คช็อปการดูแลลูกน้อยด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อเสริมความมั่นใจของคุณแม่อย่างรอบด้าน เป็นแรงบันดาลใจและลดความกดดันต่อคุณแม่มือใหม่ในการเลี้ยงลูกในแบบฉบับของตนเอง โดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่www.facebook.com/BabiMildTH/