กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--IR network
บมจ.ฟอร์จูนพาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาโลกร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ล่าสุดได้รับการขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ด้าน "สมพล ธนาดำรงศักดิ์" มั่นใจช่วยสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่งขันในเวทีโลก และลดต้นทุนด้านพลังงานไม่น้อยกว่า 10%
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (FPI) ซึ่งประกอบธุรกิจการให้บริการในการออกแบบ และผลิตสินค้าครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบแม่พิมพ์,งานขึ้นรูปพลาสติก,งานชุบโครเมี่ยม และงานพ่นสี เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เข้าร่วมโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความใส่ใจของบริษัทต่อภาวะโลกร้อน โดยการดำเนินการตามมาตรฐานดังกล่าว แม้ว่าจะเป็นมาตรการสมัครใจ แต่ก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ส่งผลต่อการค้าอย่างแน่นอน เพราะการแข่งขันในตลาดการค้าเสรีในปัจจุบัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันมีแนวโน้วการพํฒนาของเทคโนโลยียานยนต์และการผลิตที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น FPI มีความตั้งใจที่จะพัฒนาธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
"เราเชื่อมั่นว่า สำหรับผู้บริโภคในปัจจุบันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมแล้ว หากจะเลือกซื้อสินค้าในครั้งต่อไป ไม่เพียงแต่จะพิจารณาคุณภาพและราคาเท่านั้น แต่จะพิจารณาคาร์บอนฟุตพริ้นของผลิตภัณฑ์หรือฉลากลดโลกร้อนในสินค้าแต่ละประเภท ซึ่งการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย ก็เปรียบเสมือนการมีส่วนร่วมแสดงความใส่ใจในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนอีกทางหนึ่ง" นายสมพลกล่าว
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (FPI) กล่าวอีกว่า การเพิ่มศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับ FPI ผ่านการรับรองจาก อบก. คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP),ฉลาดลดโลกร้อน (CFR) และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO)
"ที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งมั่นในการดำเนินการตาม แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมองว่า หัวใจของการดำเนินธุรกิจ ส่วนหนึ่งมาจากความมุ่งมั่นและตั้งใจในการพัฒนาศักยภาพในทุกๆ ด้าน ให้สอดคล้องกัน และได้ประโยชน์สูงสุด ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าการที่บริษัทฯ ได้รับมาตรฐานในระดับสากลอย่างต่อเนื่อง จะเป็นส่วนที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความเป็นสากล ได้รับการยอมรับในเวทีโลก นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการใช้ทรัพยากร ลดความผิดพลาด กระตุ้นให้พนักงานมีส่วนร่วมในกระบวนการและทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย และช่วยต่อยอดในเรื่องของการลดต้นทุนพลังงานไม่น้อยกว่า 10% ตามแผนงานที่วางไว้ ผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต"นายสมพลกล่าวในที่สุด