TNR ฟื้นตัว Q2 กำไรสุทธิ 66.7 ล้านบาท เติบโต 8.7% จากไตรมาสเดียวกันของปี 59 ครึ่งปีหลังเร่งรุกขยายตลาดทุกช่องทาง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 10, 2017 15:48 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 ส.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ (TNR) ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทยและรายใหญ่ของโลกรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้แบรนด์ 'ONETOUCH(TM)' เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน ทำกำไรสุทธิ 66.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (ไตรมาส 2/59) หลังได้ลูกค้า OEM รายใหม่ในทวีปอเมริกาและตลาดในเอเชียที่เริ่มฟื้นตัวบวกกับมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนทิศทางการดำเนินงานครึ่งปีหลังมุ่งเพิ่มยอดขายทุกช่องทางและเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือTNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทยและรายใหญ่ของโลกรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้แบรนด์ 'ONETOUCH(TM)' เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 (เมษายน-มิถุนายน 2560) สามารถฟื้นตัวได้ดีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีกำไรสุทธิ 66.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (ไตรมาส 2/59) และมีรายได้รวม 334.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 242.5 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจัยในการฟื้นตัวเกิดจากการดำเนินงานของธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในทวีปอเมริกา และตลาดในประเทศจีนเริ่มฟื้นตัวหลังจากมีคำสั่งซื้อสินค้ารุ่นพรีเมียมเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจงานประมูล (Tender) ก็เริ่มมีการเปิดประมูลจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 2/60บริษัทฯ ได้งานประมูลผลิตถุงยางอนามัยเพิ่ม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หลังจากได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน จึงไม่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2/60 ขณะเดียวกัน ยังได้รับผลดีในด้านต้นทุนวัตถุดิบจากราคายางพาราที่เริ่มอ่อนตัว ส่งผลดีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น "สถานการณ์โดยรวมในไตรมาส 2/60 เริ่มเห็นการฟื้นตัวของตลาด OEM ในประเทศจีนและทวีปเอเชีย ส่วนตลาดในทวีปอเมริกาถือว่าเติบโตได้อย่างโดดเด่น ส่งผลดีต่อราคาขายเฉลี่ยสินค้าต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ ได้ดำเนินนโยบายในการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ควบคู่กับการเร่งเพิ่มยอดขายในฐานลูกค้าเดิม ตลอดจนสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นปัจจัยภายนอก อาทิ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ราคาวัตถุดิบ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายอมร กล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNR กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ได้วางกลยุทธ์เร่งเพิ่มยอดขายทุกช่องทาง โดยธุรกิจ OEM ที่เป็นพอร์ตรายได้หลักของบริษัทฯ คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าในทวีปอเมริกาเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ และจะเร่งเพิ่มยอดขายจากฐานลูกค้าในประเทศจีนและญี่ปุ่น ส่วนธุรกิจ Tender คาดว่าจะมีการประมูลในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีความศักยภาพและความพร้อมในการเข้าประมูล ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ประกอบด้วย แบรนด์ ONETOUCH(TM) คาดว่าจะมีอัตรากำไรที่ดีขึ้น หลังจากบริษัทฯ ปรับขึ้นราคาสินค้าในประเทศเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่วนในด้านการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน ทั้งการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงจากราคายางพาราที่อาจเกิดความผันผวน รวมถึงการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานและลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าราคายางพาราช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลง จึงไม่น่าจะมีผลกระทบกับต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ