กรุงเทพฯ--10 ส.ค.--ธนาคารเอชเอสบีซี
อาเซียนฉลองการก่อตั้งครบรอบ 50 ปี ด้วยการที่หลายชาติสมาชิกที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดประกาศพันธะสัญญาจะทุ่มลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเป็นสองเท่า มูลค่าถึงกว่า 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการค้า การท่องเที่ยว และการพัฒนาเพื่อผลักดันไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
มร.สจ๊วต เทต ผู้อำนวยการบริหาร ธุรกิจพาณิชย์ธนกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า "การฉลองครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งอาเซียนเป็นจุดเริ่มต้นที่มีศักยภาพสำหรับศักราชใหม่ของการขยายตัวด้านการพัฒนาและการลงทุน"
รายงานประจำปีของ World Economic Forum Global Competitiveness ระบุว่า แผนการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลจนกระทั่งถึงปี 2563 เป็นการมุ่งเน้นลงทุนในโครงการริเริ่มด้านคมนาคมขนส่งต่าง ๆ เป็นหลัก อันเป็นการวางกรอบเป้าหมายที่ชัดเจนในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยกำหนดที่สำคัญของขีดความสามารถในการแข่งขัน
มร.เทต กล่าวเพิ่มเติมว่า "การมุ่งเน้นสร้างเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงระหว่างกันให้ดีขึ้นเพื่อช่วยเกื้อหนุนการค้าและการลงทุนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยจะช่วยเพิ่มโอกาสสูงสุดทางการค้าและการลงทุนภายในอาเซียนด้วยกันเอง และโอกาสอันเกิดจากแผนการ Belt and Road ของจีน ซึ่งมีความสำคัญต่อเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเพิ่มการค้าแบบทวิภาคีระหว่างจีนและอาเซียนเป็นสองเท่า มูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2563"
มร.เคลวิน แทน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า "ประเทศไทยมีความต้องการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมากเป็นอันดับสองในอาเซียน โดยในช่วงปี 2559-2563 มีแผนใช้จ่ายเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเมกะโปรเจ็คต์ 56 โครงการ มูลค่า 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐ" และกล่าวเสริมว่า "จากมาตรการเร่งรัดการลงทุนมากมายของภาครัฐที่ต้องการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ขณะนี้ไทยกลายเป็นผู้นำในการเดินหน้าโครงการด้านคมนาคมขนส่ง การพัฒนาโครงข่ายรถไฟของประเทศจะเป็นโครงการสำคัญที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟทางคู่กับประเทศเพื่อนบ้าน"
กลุ่มเศรษฐกิจในประเทศอาเซียน ประกอบด้วย 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ซึ่งมีประชากรรวมกันทั้งสิ้นราว 625 ล้านคน และมีจีดีพีปีปัจจุบันรวมกันราว 2.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
หากมองอาเซียนในฐานะที่เป็นตลาดเดียว เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนในขณะนี้ติด 1 ใน 7 อันดับเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2030
ธนาคารเอชเอสบีซีซึ่งมีเครือข่ายสาขากว่า 200 แห่งทั่ว 6 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน พร้อมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับลูกค้าองค์กรถึงกว่า 10,000 แห่ง รวมถึงบริษัทในเครือของบริษัทข้ามชาติ 4,500 แห่ง องค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกว่า 20,000 แห่ง และลูกค้ารายย่อยอีกราว 2.5 ล้านคน
เครือข่ายธุรกิจระหว่างประเทศของเอชเอสบีซีมอบโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงช่องทางธุรกิจทั่วโลก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 90 ของจีดีพี การค้า และเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลก โดยครอบคลุมเส้นทางการค้าและเขตเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเติบโตเร็วที่สุดของโลก และด้วยเครือข่ายดังกล่าวจะทำให้ธนาคารสามารถช่วยเหลือลูกค้าให้ได้รับโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคได้เป็นอย่างดี