SMPC บอร์ดใจดีปันผลระหว่างกาล 0.25 บ./หุ้น เชื่อH2ธุรกิจโตกว่าครึ่งปีแรกจากความต้องการใช้ถังแก๊สทั้งในและตปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 16, 2017 15:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ส.ค.--IR PLUS "SMPC" แย้มผลงานครึ่งปีหลังเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ตามความต้องการใช้ถังแก๊สทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียใต้ และทวีปแอฟริกา ที่เปลี่ยนมาใช้ LPG แทนฟืนและเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม "สุรศักดิ์ เอิบสิริสุข" เอ็มดี ประเมินยอดขายยังคงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน แม้ผลงาน 6 เดือนแรกปีนี้กำไรลดลง 21% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้อัตราการทำกำไรลดลง แต่ด้วยยอดขายที่สูงขึ้นไปแตะ 2,002.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 440.92 ล้านบาท หรือ 28% ขณะที่ยอดขายไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 1,030.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 38% แม้ผลงานครึ่งปีแรกกำไรลดลง แต่บอร์ดไฟเขียวเอาใจผู้ถือหุ้น ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.25 บ./หุ้น กำหนดวันปิดสมุดทะเบียน 25 ส.ค. และจ่ายเงินปันผลวันที่ 8 ก.ย.60 นี้ นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ผู้ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่าง ๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่ง พลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า "SMPC" รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่าผลประกอบการของบริษัทฯงวดไตรมาส 2/2560 มียอดขายรวมอยู่ที่ 1,030.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 281.03 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 38% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 749.33 ล้านบาท เนื่องจากงวดนี้ปริมาณขายเพิ่มสูงขึ้น 26% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการอย่างต่อเนื่องของลูกค้าในแถบเอเชียและแอฟริกา โดยมีกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 2/2560 จำนวน 102.47 ล้านบาท ลดลง 46.76 ล้านบาท หรือลดลง 31% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 149.23 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้อัตราการทำกำไรลดลง และต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นโดยสุทธิกับรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่ 2,002.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 440.92 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 1,561.09 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 223.90 ล้านบาท ลดลง 60 ล้านบาท หรือลดลง 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 283.90 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้ผลประกอบการจะลดลง แต่เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจเสมอมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาทต่อหุ้น จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียน 25 สิงหาคม 2560 และกำหนดวันจ่ายปันผลในวันที่ 8 กันยายน 2560 โดยเป็นการจ่ายปันผลจากกำไรที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ทั้งนี้ ผู้รับเงินปันผลจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ายอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ เนื่องจากความต้องการถังแก๊ส LPG ที่สูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียใต้ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงหุงต้มมาเป็น LPG และความต้องการที่สูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้น รวมถึงประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีการเปลี่ยนมาใช้ LPG แทนฟืนและเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม ซึ่งทั้ง 2 ภูมิภาคนี้เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ SMPC ทั้งนี้ จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะเพิ่มอีกในระยะยาว ทำให้ SMPC ปรับเพิ่มกำลังการผลิตในปี 2560 อีก 1 ล้านใบต่อปี เป็น 8.2 ล้านใบต่อปี จากเดิม 7.2 ล้านใบต่อปี เพื่อสามารถรองรับออเดอร์ที่เพิ่มเข้ามาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส3 ถึงไตรมาส 4 คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับแผนขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น โดยจะเน้นไปในแถบประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากมีโอกาสการเติบโตสูง โดยมีปัจจัยอื่นประกอบการพิจารณาด้วยเป็นสำคัญ เช่นประโยชน์ในด้านการลดต้นทุนค่าขนส่ง สิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมถึงคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน "ครึ่งปีหลังปีนี้คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นจากความต้องการใช้ถังแก๊สทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแนวโน้มธุรกิจทั้งปี 2560 บริษัทฯ ประเมินยอดขายยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 3,469 ล้านบาท ถึงแม้ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะส่งผลกระทบต่อบริษัทบ้างในฐานะผู้ส่งออก แต่บริษัทได้มีการป้องกันความเสี่ยงด้วยการ natural hedging หรือพิจารณาซื้อ Forward ตามความจำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ด้วยอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น จะทำให้เกิด economy of scale ช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้" นายสุรศักดิ์กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ