กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--IR PLUS
ASEFA อวดงบไตรมาส 2/2560 กำไรกว่า 68 ล้านบาท รายได้ 712.35 ล้านบาท โต 3.02% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มงานบริการด้านวิศวกรรมระบบที่เกี่ยวข้องและงานบริการหลังการขาย ล่าสุดบริษัทฯตุน Backlog ในมือมากกว่า 2,000 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ปีนี้ 60 - 65% พร้อมเดินหน้าประมูลงานเพิ่มตามการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ยังมีต่อเนื่อง
นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ระบบกระจาย ส่งจ่าย และการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2/2560 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 712.35ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.86 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น3.02% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 691.49 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิของบริษัทฯ และบริษัทย่อย งวดไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 68.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.55% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 61.48 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 8.86% เป็น 9.60% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานของงวดครึ่งปีแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,337.14 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,314.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.84 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.74% กำไรสุทธิอยู่ที่ 124.03 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 124.90 ล้านบาท ลดลง 0.87 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.69% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยภาพรวมของธุรกิจเป็นไปตามฤดูกาลปกติของช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม บริษัทยังให้ความสำคัญและใส่ใจในเรื่องการพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างต่อเนื่อง
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2560 คาดว่าแนวโน้มจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ โดยมูลค่า Backlog ของบริษัทฯ ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ปัจจุบัน backlog อยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 1,800 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ปีนี้ราว 60-65% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2561 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั้งของภาครัฐบาลและเอกชน ได้แก่ โรงไฟฟ้า พลังงานทดแทน ระบบควบคุมอัตโนมัติและการอนุรักษ์พลังงาน สนามบิน รถไฟฟ้าสายสีต่างๆ โครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน เป็นต้น รวมทั้งการขยายตัวของกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนและส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์และงานบริการของบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้น