กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--กระทรวงพลังงาน
"อนันตพร"ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี-นครปฐม เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์พลังงานภาคกลางพร้อมตรวจติดตามโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนด้วยเงินทุนหมุนเวียน บริษัท พี.พี. แพคเกจจิ้ง จำกัด และเยี่ยมชมศักยภาพการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
วันนี้ (17 สิงหาคม 2560) พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน และสื่อมวลชน ลงพื้นทีจังหวัดกาญจนบุรี และนครปฐม เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์พลังงาน 20 จังหวัดในกลุ่มภาคกลาง ได้แก่ เขตตรวจราชการที่ 1 คือ จังหวัดปทุมธานี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี เขตตรวจราชการที่ 2 คือ ลพบุรี ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี เขตตรวจราชการที่ 4 คือ กาญจนบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี เขตตรวจราชการที่ 5 สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเขตตรวจราชการที่ 18 คือ พิจิตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี พร้อมเยี่ยมชมศักยภาพการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ และร่วมกิจกรรมปลูกป่า "โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน" ณ บริเวณเขื่อนศรีนครินทร์ ในพื้นที่ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี รวมถึงตรวจติดตามโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนด้วยเงินทุนหมุนเวียน (ESCO Revolving Fund) ปีงบประมาณ 2558 โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ณ บริษัท พี.พี. แพคเกจจิ้ง จำกัด ถนนพุทธมณฑลสาย 5 ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมี นายนิกูล ศิลาสุวรรณ รองผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และข้าราชการในพื้นที่ให้การต้อนรับ
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และนครปฐม เป็นการติดตามสถานการณ์พลังงานของภาคกลางในพื้นที่ตรวจราชการ เขต 1 เขต 2 เขต 4 เขต 5 และ เขต 18 ซึ่งจากการพูดคุยกับพลังงานจังหวัดในกลุ่มภาคกลางทั้ง 20 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ลพบุรี ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี กาญจนบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ พิจิตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ และอุทัยธานี เบื้องต้นไม่พบว่าประสบปัญหาอะไร แต่ได้มีการกำชับพลังงานจังหวัด และเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานในพื้นที่ทุกคนให้มุ่งเน้นการทำงานอย่างบูรณาการ ติดตามดูแลสถานการณ์พลังงานอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ เช่น ภัยธรรมชาติ เหตุฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนผู้บริโภค เนื่องจากพลังงานถือเป็นหนึ่งในกลไกลสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศักยภาพการดำเนินงานของเขื่อนศรีนครินทร์ และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พร้อมร่วมกิจกรรมปลูกป่า "โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน" ตามนโยบายของรัฐบาลที่รณรงค์ให้ ภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมปลูกต้นไม้ เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ บนพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ป่า หรือพื้นที่รัฐที่ทางราชการกำหนดไว้ โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบรอบ 65 พรรษา และร่วมสืบสานแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ในการฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้
ทั้งนี้ เขื่อนศรีนครินทร์ถือเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่ช่วยอำนวยประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ทั้งด้านการชลประทาน และการผลิตไฟฟ้า โดยตัวเขื่อนสามารถรองรับปริมาณน้ำได้ 17,745 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งช่วยเสริมระบบชลประทานโครงการแม่กลองใหญ่เพื่อการอุปโภคบริโภคในพื้นที่การเกษตรกว่า 4 ล้านไร่ และสามารถกักเก็บน้ำที่ไหลหลากในช่วงดูฝน เพื่อช่วยบรรเทาอุทกภัยในเขตลุ่มน้ำแม่กลองให้ลดน้อยลง สำหรับในส่วนของการผลิตไฟฟ้านั้น ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีการติดตั้งเครื่องกำเหนิดไฟฟ้า จำนวน 5 เครื่อง กำลังการผลิตรวม 720 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เฉลี่ยปีละประมาณ 1,250 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังมีการติดตามโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนด้วยเงินทุนหมุนเวียน (ESCO Revolving Fund) ปีงบประมาณ 2558 ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ที่ได้สนับสนุนเงินลงทุนในลักษณะเงินกู้ดอกเบี้ยอัตราคงที่ 3.5% ต่อปี (Flat Rate) โดยมีระยะเวลาการผ่อนชำระคืนไม่เกิน 5 ปี ให้กับบริษัท พี.พี. แพคเกจจิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกและโฟมสำหรับบรรจุอาหารนั้น เป็นการติดตามดูความก้าวหน้าภายหลังจากที่ได้มีการส่งเสริมการลงทุนโดยการให้เช่าซื้ออุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ในโครงการติดตั้งอุปกรณ์ปรับลดแรงดันไฟฟ้า จำนวน 2 เครื่อง คือ ขนาดพิกัด 1,000 kVA และขนาดพิกัด 1,500 kVA ภายใต้งบประมาณส่งเสริมจำนวน 6,452,100 บาท ซึ่งการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวส่งผลให้บริษัทสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้เท่ากับ 464,000 kWhต่อปี หรือเทียบเท่า 0.04 ktoe ต่อปี คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 1.78 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 0.0003 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี
"ที่ผ่านมาโรงงานดังกล่าวมีการใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิตเฉลี่ย 8,640,000 kWh ต่อปี คิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าสูงถึง 33.16 ล้านบาทต่อปี แต่ภายหลังจากการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนด้วยเงินทุนหมุนเวียนแล้ว ช่วยให้เกิดการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จในการขับเคลื่อนแผนอนุรักษ์พลังงานให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผนที่ต้องการลดความเข้มการใช้พลังงานลง 30% ในปี 2579" พลเอก อนันตพร กล่าว
ทั้งนี้ โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนด้วยเงินทุนหมุนเวียน (ESCO Revolving Fund) ปีงบประมาณ 2558 กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้ดำเนินการส่งเสริมไปแล้วทั้งหมด 23 ราย สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าให้กับประเทศได้เท่ากับ 17.63 GWh ต่อปี คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 45 ล้านบาทต่อปี หรือลดการนำเข้าน้ำมันดิบ 6.25 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ