กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ.ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ TLUXE มั่นใจครึ่งปีหลัง ธุรกิจอาหารสัตว์ปรับตัวคึกคัก พร้อมปรับกลยุทธ์เน้นอาหารคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม ขยายฐานลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเดิม หนุนยอดขายปีนี้มากกว่า 1,800ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 20% ด้าน CFO "สุวิทย์ วรรณะศิริสุข" เดินเกมปรับกลยุทธ์ศึกษาแผนขยายตลาดในต่างประเทศ หวังดันยอดขายในอนาคตเพิ่ม พร้อมเดินหน้าลงทุนธุรกิจพลังงาน โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ และพลังงานลม เต็มกำลัง มั่นใจสิ้นปี 60 มีกำลังผลิตตามเป้า 23 เมกะวัตต์
นายสุวิทย์ วรรณะศิริสุข ผู้อำนวยการสายบัญชีและการเงิน บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TLUXE ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนดำเนินธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าอัตราการเติบโต ของรายได้จากยอดขายในปี 2560 ไว้ที่ระดับ 1,800 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมธุรกิจอาหารสัตว์ มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น โดยจะเห็นได้จากภาพรวมอุตสาหกรรมกุ้ง ในช่วงครึ่งปีหลัง มีทิศทางการเติบโตต่อเนื่อง ในช่วงเดือนกรกฎาคม – เดือนกันยายน 2560 ปริมาณผลผลิตกุ้งเพิ่มมากขึ้น และพื้นที่การเลี้ยงจริงเพิ่มมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2560 คิดเป็นร้อยละ 70 ของพื้นที่ทั้งหมด
ขณะที่การแข่งขันของผู้ค้าปัจจัยในอุตสาหกรรมกุ้งค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการเลี้ยงเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ได้แก่ ลูกพันธุ์กุ้ง และอาหารกุ้ง ดังนั้นบริษัทจึงปรับแนวทางการตลาดโดยเน้นอาหารเกรดพรีเมี่ยม โปรตีนสูง 42-45% ที่มีคุณสมบัติเร่งการเจริญเติบโต และลดระยะเวลาการเลี้ยง ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า พร้อมปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง
"บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบาย โดยเน้นเรื่องคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก และให้บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ตรวจสุขภาพกุ้งพร้อมให้คำปรึกษา ตลอดจนความรู้ทางวิชาการ เพื่อให้ลูกค้าตัวแทนจำหน่าย และ เกษตรกรผู้เลี้ยงโดยตรง ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและบริการที่เป็นเลิศ นอกจากนี้ยังจะเน้นทำการตลาดผ่าน social media ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรประสบผลสำเร็จในการเลี้ยงมากขึ้น" นายสุวิทย์ กล่าว
พร้อมกันนี้ ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมปลา ในช่วงไตรมาส 3/2560 ว่าสถานการณ์โดยรวมปรับตัวดีขึ้น การทำตลาดอาหารปลามีการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งทางด้านคุณภาพและราคา ดังนั้นเพื่อให้สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด เรายังคงเน้นผลักดันฐานลูกค้ารายหลัก ทั้งรายใหม่ และรายเดิม มีการเพิ่มลูกบ่อ การขยายตลาดปลาให้กับลูกค้า รวมถึงขยายการทำตลาดในกลุ่มอาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพง เป็นต้น โดยเฉพาะในพื้นที่การเพาะเลี้ยงหลัก จังหวัดฉะเชิงเทรา และ สมุทรปราการ และขยายไปยังพื้นที่การเพาะเลี้ยงในเขตภาคใต้ อาทิ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร เป็นต้น เพื่อเป็นการขยายฐานตลาดในกลุ่มสินค้าเกรดพรีเมี่ยม และสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้มีการขยายยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังผลิตอาหารกุ้งที่ 80,400 ตัน และอาหารปลาที่ 61,000 ตัน โดยมีการขยายตลาดอาหารปลา ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และ ประเทศมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งมียอดส่งออกประมาณ 20%
"นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด และความเป็นไปได้ต่อการลงทุนในลักษณะการตั้งศูนย์กระจายสินค้า หลังมองแนวโน้มการเติบโต เนื่องจากมีลูกค้าบางราย (ดีลเลอร์) สั่งซื้อสินค้าของบริษัทฯ ไปจำหน่ายเอง ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) อาหารสัตว์น้ำ ประมาณ 10% ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน" นายสุวิทย์ กล่าว
ผู้อำนวยการสายบัญชีและการเงิน บมจ.ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (TLUXE) กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง บริษัทฯ ยังคงรับออเดอร์การผลิตอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบการรับจ้างผลิต (OEM) โดยสามารถรองรับปริมาณการผลิต ได้ทั้งโรงงานที่จังหวัดเพชรบุรี และ โรงงานจังหวัดสงขลา
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงแนวโน้มของธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่เติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-15% ตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของคนในสังคม โดยเฉพาะธุรกิจบริการสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น โรงพยาบาลสัตว์ ศูนย์ดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงครบวงจร บริการสปา คาเฟ่ และโรงแรมสำหรับสัตว์เลี้ยง ศูนย์ฝึก ศูนย์รับฝาก รวมไปถึงธุรกิจประกันภัย Pet Insurance เป็นต้นดังนั้น บริษัทฯ ได้ศึกษาแผนการลงทุน เพื่อต่อยอดธุรกิจสัตว์เลี้ยงอย่างเต็มตัว ในโครงการ Pet Center แบบครบวงจร เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับธุรกิจ Pet Center ในรูปแบบ Franchise ตั้งแต่ ขนาด เล็ก กลาง และใหญ่
ส่วนการดำเนินธุรกิจพลังงานของบริษัทย่อย โรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) และพลังงานลม ในประเทศญี่ปุ่นนั้น นายสุวิทย์ กล่าวว่า หลังจากบอร์ดมีมติอนุมัติลงทุน โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ เพิ่มอีก 10โครงการ ช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งการลงทุนเพิ่มใน 10 โครงการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทันทีในไตรมาส 3 นี้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 13 โครงการ
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมดำเนินการเชิงพาณิชย์ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพเพิ่มในไตรมาส 4/2560 อีกจำนวน 10โครงการ รวมแล้วบริษัทจะมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งสิ้น 23 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมด 2,875 กิโลวัตต์ หรือกำลังการผลิตเทียบเท่ากับ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 23 เมกะวัตต์ ในปี 2560 ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่เมืองอาโอโมริ (Aomori) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 7 โครงการ มูลค่าการลงทุน 80 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3/60 นี้เช่นเดียวกัน