กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--IR PLUS
กลุ่มเจมาร์ท โชว์แผน Synergy ดันผลงานครึ่งปีแรกเกินคาด ด้านผู้บริหาร ประกาศลั่น ครึ่งปีหลังแรงดีไม่มีตก นำโดย JMART รุกธุรกิจมือถือและกล้องถ่ายรูป รับไฮซีซั่นธุรกิจครึ่งปีหลัง ขณะที่ JMT ธุรกิจบริหารหนี้ท็อปฟอร์มสุด ประกาศกำไรทะลักตั้งแต่ครึ่งปีแรกโต 892% ลั่น ครึ่งปีหลังโตต่อ ซื้อหนี้เสียปีนี้ 3 หมื่นลบ. แถมเตรียมซื้อหนี้ที่มีหลักประกันเข้ามาบริหารเพิ่ม พร้อมสยายปีกติดตามหนี้กัมพูชาแล้ว Q3/60 นี้ ด้านบอร์ด JMART - JMT ไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาลตอกย้ำผลงานแกร่ง ส่วน J เผย ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าและคอมมูนิตี้มอลล์รายได้โตต่อเนื่อง หลังผลงานพลิกเป็นกำไรใน Q2/60 ฮุบธุรกิจกาแฟ และคอนโดต่อยอด เสริมความครบวงจรผู้พัฒนาอสังหาฯ เต็มรูปแบบ และ SINGER ยังชูจุดแข็งในเรื่องช่องทางค้าปลีกแข็งแกร่งสุดทั่วประเทศหนุนบริษัทในกลุ่ม พร้อมอัพเดทตัวแทนขายกว่า 1.4 หมื่นราย ส่วนสินเชื่อรถทำเงิน มียอดปล่อยสินเชื่อแล้วกว่าร้อยลบ. และเชื่อว่าจะไปได้สวยในอนาคต
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART บริษัทโฮลดิ้งที่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกที่หลากหลาย เปิดเผยถึง ภาพรวมกลุ่มเจมาร์ทปีนี้เดินหน้าตามแผนการ Synergy Chapter II ได้อย่างแข็งแกร่ง ตอกย้ำผู้นำค้าปลีกที่มีเครือข่ายมากที่สุดในประเทศ และมีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลายเหนือกว่าคู่แข่งผ่านบริษัทในเครือ โดย JAYMART MOBILE เป็นธุรกิจหลัก คาดว่าผลงานครึ่งปีหลังจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก รับช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายรูป ซึ่งเป็นช่วงที่แบรนด์ชั้นนำค่ายต่างๆ จะทยอยออกสินค้ารุ่นใหม่มากระตุ้นตลาด โดยเฉพาะแบรนด์ดังจากประเทศจีน ทั้ง Huawei, OPPO และ VIVO ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าและเข้ามามีมาร์เก็ตแชร์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยบริษัทฯ เป็นเบอร์ 1 ค้าปลีกในประเทศที่มียอดขายสูงสุดใน 3 แบรนด์ดังกล่าว ส่วนธุรกิจกล้องถ่ายรูป โตแรงสนับสนุนภาพรวม JAYMART MOBILE ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจุบันเปิดสาขา Jaycamera แล้ว 6 สาขา และคาดว่าจะเปิดครบ 10 สาขาตามแผน ในเดือนตุลาคม 2560 นี้
สำหรับ ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล J FINTECH พลิกกลับมามีผลกำไรแล้วในไตรมาส 2 เช่นกัน และปัจจุบัน สามารถปล่อนสินเชื่อไปแล้วกว่า 2,800 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 3,500 ล้านบาท และเชื่อว่าจะสามารถเดินหน้าตามแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ปี 2561 ได้ตามที่วางไว้ ส่วนธุรกิจด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ และลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับฟินเทค J VENTURES ได้เริ่มลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพในกลุ่มฟินเทคบ้างแล้ว และเชื่อว่าในปีนี้จะสร้างความตื่นเต้นให้กับธุรกิจในกลุ่ม ด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้กับบริษัทในกลุ่ม
สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปีนี้ JMART มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 263.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 191.1 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.4% ส่วนรายได้จากการขายและบริการรวมอยู่ที่ 5,978.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 4,853.3 ล้านบาท ตอกย้ำเป้าหมายปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 438 ล้านบาท รายได้รวม 10,701 ล้านบาท ด้านบอร์ดบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.18 บ. ตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจ
ด้านนายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึง ผลงานครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสามารถสร้างประวัติการณ์สูงสุด คาดว่าครึ่งปีหลังยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้หนี้ด้อยคุณภาพที่ซื้อเข้ามาบริหาร และความสามารถในการจัดเก็บหนี้ได้ตามมาตรฐาน โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้มูลค่ารวมประมาณ 1.20 แสนล้านบาท เป็นหนี้ที่ซื้อมาจำนวน 108 กอง พร้อมกับซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นปีนี้พอร์ตบริหารหนี้แตะ 1.4 แสนล้านบาท โดยครึ่งปีแรกจะซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารไปแล้วกว่า 11,133 ล้านบาท แต่มั่นใจครึ่งปีหลังจะสามารถทำได้ตามเป้า เนื่องจากเป็นช่วงที่ธนาคารและสถาบันการเงินทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังพร้อมรุกเข้าไปซื้อหนี้ที่มีหลักประกันเข้ามาบริหารเพิ่มความแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเริ่มธุรกิจติดตามหนี้ในประเทศกัมพูชา ในไตรมาส 3/2560 เตรียมขยายไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV ในอีก 3 – 5 ปีจากนี้ เป้าหมายในการเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจบริหารหนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับผลงานงวด 6 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 198 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 892.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 20 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 30.4% รายได้รวมอยู่ที่ 651.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 473.5 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ รับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากหนี้ด้อยคุณภาพที่ซื้อเข้ามาบริหารในช่วงที่ผ่านมา และสามารถจัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่ต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในบริษัทย่อยแล้ว ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.27 บาท พร้อมทั้ง มั่นใจเป้าหมายการเติบโตปี 2560 อยู่ที่ 30% จากปี 2559 กำไรสุทธิอยู่ที่ 290 ล้านบาท รายได้รวมอยู่ที่ 1,063.7 ล้านบาท ทำได้ไม่ยาก
นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยถึง ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก จากการรับรู้รายได้ในธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าค้าปลีกศูนย์มือถือครบวงจรภายใต้ชื่อ IT Junction ซึ่งปัจจุบันมี 51 สาขา มีการเติบโตขึ้นจากจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และการสนับสนุนจากแบรนด์พันธมิตร พร้อมเดินหน้าขยายสาขาในทำเลที่มีศักยภาพ คาดสิ้นปีนี้จะมี IT Junction 60 สาขา รวมทั้งธุรกิจ ศูนย์การค้าชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 3 โครงการ โดยโครงการ The Jas รามอินทรา และ The Jas วังหิน อยู่ระหว่างการรีโนเวท ต่อยอด URBAN Foodville ดึงดูดความสนใจลูกค้าเพิ่ม กำหนดเปิดไตรมาส 3/2560 ขณะที่โครงการ Jas Urban ศรีนครินทร์ เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2559 ได้รับการตอบรับสูงมีอัตราผู้เช่าเต็ม 100%
ล่าสุดประกาศซื้อธุรกิจร้านอาหารและคาเฟ่ แบรนด์ คาซ่า ลาแปง (Casa Lapin) เป็นการร่วมทุนกับ บริษัท คอฟฟี่ โปรเจ็ค จำกัด โดยบริษัทฯ ถือหุ้น 60% ใช้งบลงทุน 42 ล้านบาท รุกขยายในศูนย์การค้าของบริษัท และศูนย์การค้าอื่นๆ ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวได้พิจารณาอย่างรอบคอบ เชื่อจะต่อยอดเจเอเอส แอสเซ็ท ให้ครบวงจรขึ้น สำหรับธุรกิจคอนโดมิเนียม Low-Rise ที่เข้าไปรุกในโครงการแรกชื่อ NEWERA (นีเวร่า) ย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรม มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท เตรียมเปิดพรีเซลในช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้ และเริ่มโอนโครงการไตรมาส 4/2561
ด้านงบการเงินรวมไตรมาส 2/2560 พลิกกลับมาเป็นกำไร สนับสนุนผลงานงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวมอยู่ที่ 357.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 28.90% กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.07 ล้านบาท ยืนยัน เป้าหมายปี 2560 วางไว้โต 30% จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 562 ล้านบาท พร้อมรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ด้านนางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยถึง กลยุทธ์ธุรกิจครึ่งปีหลัง ผลักดันสินค้ากลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน กลุ่มสินค้าเชิงพาณิชย์ และโทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ ยอดขายตู้เติมเงินและโทรศัพท์มือถือที่มีการเติบโตสูงในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ ธุรกิจสินเชื่อรถทำเงิน สามารถปล่อยสินเชื่อไปกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งถือว่าล่าช้าจากแผนที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทฯ เน้นการปล่อยสินเชื่ออย่างรัดกุมเพื่อผลตอบแทนที่มีคุณภาพที่สุด นอกจากนี้ จะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 30% จากการบริหารจัดการที่ดี นำระบบ ERP มารองรับการเติบโตในอนาคต และกำหนดแผนการดำเนินการเร่งติดตามหนี้ที่ค้างชำระให้เป็นไปตามที่วางไว้ โดยครึ่งปีแรก หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ระดับ 14.3% จากไตรมาส 1/2560 อยู่ที่ 23.3% นับเป็นทิศทางที่ดีของบริษัทฯ พร้อมตั้งเป้าสิ้นปีจะรักษาระดับ NPL ให้ต่ำกว่าระดับ 10% และขยายเครือข่ายทีมขายตอกย้ำธุรกิจที่มีช่องทางการจำหน่ายครอบคลุมทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีตัวแทนขายแล้วประมาณ 14,000 ราย และครึ่งปีแรกมีสาขาจำนวน 183 สาขา จากปี 2559 มี 177 สาขา
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในงวดไตรมาส 2/2560 พลิกกลับมาเป็นกำไร 8.0 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2560 มีผลขาดทุน และลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 28.2 ล้านบาท หรือลดลง 71.5 % ในส่วนของรายได้รวม อยู่ที่ 575.4 ล้านบาท ลดลง 21.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 730.3 ล้านบาท จากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว กำลังการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยลดลง