กรุงเทพฯ--24 ส.ค.--เบรน ยูไนเต็ด
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน เปิดงาน Organic & Natural Expo 2017 หรือ ONE 2017 อย่างเป็นทางการ ระดมผู้ผลิตและประกอบการออร์แกนิคไทยเกือบ 250 ราย โชว์ศักยภาพการเป็นผู้นำด้านการผลิตและการตลาดสินค้าออร์แกนิคของภูมิภาคอาเซียน โดยงานฯ จะจัดขึ้นระหว่าง 27 – 30 กรกฎาคมนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จัดพิธีเปิดงาน Organic & Natural Expo 2017 หรือ ONE 2017 อย่าง ยิ่งใหญ่ โดยรวมเอาผู้ผลิตและผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานด้านเกษตรอินทรีย์หรือออร์แกนิค ทั้งในระดับสากลและในประเทศ รวมถึงมาตรฐานเกี่ยวกับสินค้าธรรมชาติมาไว้ในงานถึง 248 ราย เพื่อแสดง ศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าออร์แกนิคในภูมิภาคอาเซียน พร้อมกำหนดแนวคิดของงานที่ว่า "ASEAN : Home of Organic" เพื่อยกระดับการจัดงานออร์แกนิคของประเทศ ไทยให้เป็นศูนย์กลางงานแสดงสินค้าออร์แกนิคระดับนานาชาติ โดยงาน Organic & Natural Expo 2017 จะจัด ขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 30 กรกฎาคมนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า "งาน Organic & Natural Expo 2017 เป็นงานแสดงและจำหน่ายสินค้าออร์แกนิคและธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เป็นเวทีที่รวมเหล่าเกษตรกรออร์แกนิคของไทยไว้มากที่สุด ทั้งยังเป็นเหมือนตลาดที่ใหญ่ที่สุดที่จัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น เพื่อผู้ผลิตสินค้าออร์แกนิคและผู้บริโภคและคนรักสุขภาพที่ต้องการรู้จักและซื้อสินค้าออร์แกนิคโดยเฉพาะ นอกจากนี้ งานครั้งนี้ยังช่วยผลักดันให้เกิดการจัดตั้งสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์อาเซียน โดยทางกระทรวงพาณิชย์ได้ เชิญผู้ประกอบการออร์แกนิคของประเทศอาเซียนเข้าร่วมการประชุม ASEAN Organic Federation ซึ่งจัดขึ้นโดย สมาคมการค้าเกษตรอินทรีย์ไทยร่วมกับสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ และการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) กับผู้ประกอบการชาวไทย รวมทั้งร่วมจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าจากกลุ่มอาเซียน ในบูธ Organic ASEAN Pavilion"
สำหรับการจัดแสดงสินค้า มีจำนวนบูธทั้งสิ้น 353 บูธ ครอบคลุมสินค้าอินทรีย์ทุกกลุ่ม ทั้งข้าว ผักผลไม้ อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าประเภท Non-Food เช่น สิ่งทอ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย รวมทั้งบริการอินทรีย์ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ร้านสินค้าสุขภาพ สปา โดยแบ่งบูธและการจัดพื้นที่ออกเป็น 5 โซน ได้แก่ 1) โซนสินค้า อินทรีย์มาตรฐานสากล 2) โซนสินค้าอินทรีย์มาตรฐานภายในประเทศ 3) โซนสินค้าธรรมชาติ 4) โซนร้านกรีนและ บริการ และ 5) โซนร้านอาหารอินทรีย์
นางนันทวัลย์ กล่าวต่อว่า "ในปีนี้มีสินค้านวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากกาบหมาก ภาชนะบรรจุภัณฑ์ รักษ์สิ่งแวดล้อมจากแป้งมันสำปะหลัง เครื่องสำอางออร์แกนิค ข้าวอินทรีย์หลากหลายพันธ์และผลิตภัณฑ์จาก ข้าว เป็นต้น ทั้งยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การสัมมนาเชิงวิชาการด้านสินค้าออร์แกนิค หรือ Organic Symposium 2017 การสาธิตการปรุงเมนูอาหารออร์แกนิคจากเชฟและร้านอาหารชื่อดัง การสัมภาษณ์พิเศษ ศิลปินคนดังเกี่ยวกับวิธีการดูแลสุขภาพตัวเองและครอบครัว รวมไปถึงเวิร์คช้อปสร้างอาชีพเสริมรายได้"
สำหรับงาน Organic Symposium 2017 จะมีขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.30 น. โดยจะ เริ่มต้นด้วยการปาฐกถาพิเศษ โดยนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในหัวข้อ "ยุทธศาสตร์ สินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทย และแนวทางการขับเคลื่อน" ต่อด้วยการปาฐกถาในหัวข้อ "โอกาสของสินค้าอินทรีย์ ในอาเซียน สู่ตลาดโลก" โดย Mr. Markus Reetz, Executive Director of NurnbergMesse GmbH และเสวนาใน หัวข้อ "การพัฒนาสินค้าอินทรีย์ในอาเซียน" โดยนายวิฑูรย์ ปัญญากุล กรรมการสมาคมการค้าเกษตรอินทรีย์ไทย และวิทยากรจากองค์กรด้านการเกษตรอินทรีย์จากกลุ่มประเทศอาเซียน ต่อด้วยเสวนาย่อยในช่วงบ่าย ซึ่งมีหัวข้อ น่าสนใจสำหรับผู้ค้า ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ได้แก่ "ผลิตสินค้าออร์แกนิคให้ได้มาตรฐานสากลไม่ใช่เรื่องยาก" "โอกาสสินค้าอินทรีย์ในอาเซียนจาก ประสบการณ์จริง" "เทคนิคการเลือกซื้อสินค้าออร์แกนิคที่มีคุณภาพ" และ"กินอาหารอย่างไรให้ปลอดโรค ไม่ต้องพึ่งยา"
อธิบดีกรมการค้าภายใน ยังกล่าวถึงสถานการณ์ตลาดสินค้าออร์แกนิคโดยรวมว่า "ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกหันมา ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพมากขึ้น เพราะผู้คนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักถึงอันตรายจากสารเคมีตกค้างกัน มากขึ้น ความนิยมในการบริโภคสินค้าออร์แกนิคจึงยิ่งแผ่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเทรนด์ของโลกไปแล้ว จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ตลาดออร์แกนิคโลกมีมูลค่าสูงถึง 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 2.95 ล้านล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวประมาณปีละ 20%"
"โดยที่ตลาดสำคัญในโลกได้แก่ 1) สหรัฐอเมริกาและแคนนาดา ที่มีมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ2) ยุโรป มูลค่าประมาณ 2-3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 3) ตลาดโซนอื่นๆ เช่น เอเชีย จีน และออสเตรเลีย ซึ่งรวมกันมีมูลค่าประมาณ 8 พันกว่าล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนตลาดสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ สิงค์โปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเฉพาะไทยมีมูลค่าตลาดภายในประเทศประมาณ 2,730 ล้านบาท และมูลค่า การส่งออกประมาณ 1 พันล้านบาท และมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% ต่อปี"
"สำหรับพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกมีประมาณ 318 ล้านไร่ ขยายตัวเฉลี่ยในแต่ละปีสูงถึง 2% เมื่อเทียบกับ ไทยที่มีพื้นที่ปลูกประมาณ 3 แสนไร่ คิดเป็น 2% ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด มากเป็นอันดับที่ 4 ของภูมิภาค อาเซียน และมีโอกาสขยายตัวได้ถึง 99.8% อีกทั้งไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของประชากรโลก บวกกับความพร้อมด้านภูมิศาสตร์และการขนส่งที่ดี จึงมีความได้เปรียบสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ของอาเซียน ด้วยองค์ประกอบดังกล่าวจะช่วยสร้างความแตกต่าง ทางด้านคุณภาพให้กับสินค้าออร์แกนิคของไทย และช่วยขยายตลาด ตลอดจนเพิ่มมูลค่าเพื่อการส่งออกต่อไป"
"และด้วยเป้าหมายที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน ทางกรมการค้าภายในได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ปี 2560 – 2564 โดยกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) สร้างการรับรู้ของผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้คนได้รู้ถึงคุณค่าของการบริโภคอาหารอินทรีย์ว่านอกจากดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย 2) ผลักดันมาตรฐานและระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าเป็นสินค้านั้นเป็นสินค้าอินทรีย์ที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคจริงๆ 3) พัฒนาและขยายตลาดสินค้าและบริการอินทรีย์ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด เพราะถ้ายิ่งขยายตลาด ก็จะมีการผลิตเพิ่มขึ้น ต้นทุนก็จะถูกลง และทำให้คนนิยมบริโภคสินค้าอินทรีย์มากขึ้น และ 4) พัฒนาสร้างมูลค่าสินค้าและบริการอินทรีย์ ด้วยการแปรรูปและใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วย เช่น ข้าว สามารถพัฒนาเป็นอาหารเสริมหรือเครื่องสำอาง ทำให้มีมูลค่าสินค้าเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่า" นางนันทวัลย์ ทิ้งท้าย