กรุงเทพฯ--30 ส.ค.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น
'พีทีจี เอ็นเนอยี' เร่งเครื่องขยายธุรกิจ Non-oil ต่อเนื่อง เพิ่มความสามารถในการทำกำไร ตั้งเป้าสัดส่วนกำไรสุทธิจาก Non-oil แตะ 60% ภายในปี 2565 ด้านธุรกิจน้ำมันเตรียมขยายปั๊มให้บริการกทม.และปริมณฑลครอบคลุม 70%
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าในการขยายธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน หรือ Non-oil อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจน้ำมันเพียงอย่างเดียว โดยบริษัทฯไม่เพียงแต่มุ่งเน้นในการขยายธุรกิจ Non-oil ในสถานีบริการน้ำมันเพียงเท่านั้น แต่ยังขยายธุรกิจ Non-oil ไปยังนอกสถานีบริการอีกด้วย เช่น ร้านกาแฟ Coffee World และร้านอาหารในเครือ GFA รวมถึงล่าสุดบริษัทได้ลงนามซื้อขายหุ้น และสัญญาร่วมทุนกับบริษัท ออโต้แบคส์ เซเว่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนใน Tokyo Stock Exchange ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท สยาม ออโต้แบคส์ จำกัด โดยซื้อหุ้นของบริษัทสยาม ออโต้แบคส์ จำกัด สัดส่วน 38.26% มูลค่า 65 ล้านบาท ซึ่งหลังจากการเข้าซื้อหุ้นแล้ว จะทำให้ศูนย์บริการรถยนต์ AUTOBACS เป็นผู้ได้สิทธิเพียงผู้เดียวในการขยายศูนย์บริการในประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯมุ่งหวังที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในภาพรวมของบริษัทฯให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทฯก็มีความมุ่งหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ Non-oil ให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทฯตั้งเป้ามีสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ Non-oil อยู่ที่ 60% ภายในปี 2565
ด้านธุรกิจน้ำมันบริษัทฯยังคงเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนสถานีบริการในปีนี้ให้ได้อยู่ที่ 1,800 สถานี ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากในปัจจุบันที่มีสถานีบริการ 1,506 สาขาทั่วประเทศ ส่วนในปี 2561 บริษัทฯมุ่งเน้นในการขยายสถานีบริการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลเพื่อให้บริการครอบคลุมกว่า 70% ของพื้นที่ รวมถึงการสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นผ่านโปรแกรมบัตรสมาชิก PT Max Card ที่วางเป้าหมายไว้ ที่ 7.6 ล้านสมาชิก ณ สิ้นปี 2560 ในขณะที่โครงการปาล์มคอมเพล็กซ์จะสามารถเริ่มเดินเครื่องได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560
"เรามีแผนระยะยาวในการเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรด้วยการขยายธุรกิจ Non-oil ทั้งในและนอกสถานีบริการ เพื่อที่จะสามารถมอบสินค้า และบริการให้กับลูกค้าได้ครบถ้วน และตรงกับความต้องการมากที่สุด ซึ่งในอนาคตธุรกิจ Non-oil จะมีบทบาทสำคัญต่อการทำกำไร ในขณะที่ธุรกิจน้ำมันในปีนี้เราประเมินว่าสถานการณ์ของค่าการตลาดได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเรียบร้อยแล้ว และจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเรายังคงเป้าหมายในการเติบโตตามที่ได้วางไว้" นายพิทักษ์กล่าว
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทฯ ประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 45.3% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 182 ล้านบาท และมีรายได้รวม 21,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 561 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้อยู่ที่ 20,896 ล้านบาท